บทที่ 3 น้องเติร์ดกับพี่พลอย
นับตั้งแต่เกิดเรื่องแบบชุดหลุดออกไปคราวนั้น บริษัทซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นห้องเสื้อหรูหราและงามจับตาก็มีการรับดีไซเนอร์ใหม่ๆ เข้ามาหลายคน และก็ปลดทิ้งเพราะยอดขายที่ตกต่ำลง อีกทั้งสาวๆ ไฮโซกลุ่มลูกค้าหันไปนิยมแบรนด์ต่างประเทศอย่างโคลเอ ชาแนล กุชชีและปราดามากกว่า ทุกอย่างจึงดิ่งลงเรื่อยๆ
วงการแฟชั่นแทบจะไม่สนใจบริษัทเก่าตกยุคแห่งนี้แล้ว มองว่าชุดที่ออกขายเป็นชุดลิเกเชยๆ ด้วยซ้ำ กระทั่งมีคุณ ‘พชร’ ผู้บริหารคนใหม่เข้ามาและเลือกพลอยขวัญที่มีประวัติเสียให้เข้ามากุมบังเหียนการออกแบบใหม่ทั้งหมด หลายคนจึงตั้งตารอคอยวันที่เธอล้มไม่เป็นท่า
ความคาดหวังที่ผู้บริหารคนใหม่มีต่อเธอไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก่อนหน้านี้ธุรกิจของบริษัทค่อนข้างซบเซา แม้ว่าเธอจะเคยมีโอกาสช่วยเตรียมคอลเล็กชันห้องเสื้อชั้นสูงตอนสมัยฝึกงานมาก่อน รวมไปถึงเคยทำงานระยะสั้นๆ กับนิตยสารแฟชั่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสร้างงานที่ทำกำไรให้บริษัทได้ ผู้บริหารคนนี้กลับกล้าวางเดิมพัน
อุปสรรคแรกโผล่มาทันทีหลังจากพลอยขวัญเข้ามาทำงาน เมื่อยี่หวาชักชวนนักออกแบบสองสามคนในแผนกให้ลาออก ส่วนตัวเองยังอยู่คอยปั่นประสาท พลอยขวัญจึงตัดสินใจลุยเต็มที่
การคัดนายแบบจัดขึ้นที่สตูดิโอซึ่งเป็นส่วนขยายเพิ่มเติมที่ผู้บริหารคนใหม่สั่งทำขึ้น พลอยขวัญขึ้นลิฟต์ไปชั้นสิบสอง ออกจะงงๆ เพราะดูเหมือนผู้บริหารคนใหม่จะปรับปรุงสถานที่จนเธอจำไม่ได้ ขณะที่กำลังยืนละล้าละหลังอยู่ตรงป้ายบอกตำแหน่งห้องทั้งหมดของชั้นนี้ พนักงานหนุ่มคนหนึ่งก็บอกทางให้เธออย่างอารี ท่าทางองอาจและผึ่งผาย
“เดินตรงไป เลี้ยวขวา ห้องที่สองครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
พลอยขวัญหันหน้ามาแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเดินไปตามที่บอก ไม่ได้สังเกตว่าหนุ่มคนนั้นเดินตามเข้ามาในสตูดิโอด้วย บรรยากาศในห้องสตูดิโอก็พลันแปลกไป เขาคนนั้นก้าวเดินด้วยท่วงท่าสบายๆ มั่นอกมั่นใจ แฝงไว้ซึ่งความกระฉับกระเฉงยินดีอยู่ในที ส่วนพลอยขวัญขอผู้ดูแลการคัดเลือกเข้าไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง การคัดเลือกเริ่มต้นไปสักพักแล้ว และดูเหมือนว่าจะมีห้าคนสุดท้ายที่ดูโดดเด่นกินกันไม่ลง จนกระทั่งพนักงานหนุ่มคนนั้นก้าวไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่หก
ที่แท้เขาก็เป็นนายแบบ...
พลอยขวัญคิด หนุ่มร่างสูงสง่าคนนี้อายุน่าจะไม่เกินยี่สิบห้า คิ้วตาคมเข้ม ผิวคล้ำแดด หน้าตาหล่อเหลา มีแววตาเป็นประกายสดใส แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็ค ดูธรรมดาๆ แต่กลับดูดีเมื่อเขาเป็นคนสวม กิริยาท่าทางก็ดูมีเสน่ห์ชวนมองมาก ป้ายชื่อที่หน้าอกของเขาระบุว่าเขาชื่อเติร์ด
เมื่อเขารับรู้ได้ถึงสายตาของพลอยขวัญ เขาก็หันมาส่งยิ้มให้
หน้าตาน้องเติร์ดคนนี้ดูดีจริงๆ รอยยิ้มดูขี้เล่นแต่ก็แฝงความเด็ดขาดไว้ แววตานิ่งขรึม มองแวบหนึ่งดูเย็นชาไร้อารมณ์ แต่อีกแวบหนึ่งนั้นกลับนุ่มนวล พลอยขวัญนึกถึงเค้าร่างชุดแนวต่างๆ ที่เหมาะสำหรับเด็กคนนี้ อย่างแนว street style หรือจะเสื้อโอเวอร์ไซส์กับกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบเท่ๆ สักคู่ แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว
ทว่าการมาถึงของเขาทำให้บรรยากาศการคัดเลือกเปลี่ยนไป คณะกรรมการที่นั่งเรียงกันอยู่ที่อีกฟากดูจะขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติเท่าใดนัก ดูคล้ายจะอับจนคำพูดไปเสียดื้อๆ หากจะโทษก็คงต้องโทษที่ชื่อพลอยขวัญของเธอออกจะหลอกหลอนพวกเขาอยู่กระมัง
“คุณพลอยขวัญจะเข้ามาเป็นหัวหน้าทีมฝ่ายออกแบบ คุณพลอยขวัญจะลองถามคำถามคัดเลือกสักข้อก็ได้นะครับ”
กรรมการคนหนึ่งกล่าวผ่านไมโครโฟน พลอยขวัญสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะให้เกียรติ เอ๊ะ หรือว่าตกลงเลือกกันไม่ได้ก็เลยโยนให้เธอเลือกกันนะ ถึงจะเป็นอย่างไหน พลอยขวัญถูกเรียกให้ตั้งคำถามเทสนายแบบกะทันหันแบบนี้ ก็ทำเอานิ่งงันไปอึดใจ
“ไม่ทราบว่าต้องกำหนดแนวคำถามมั้ยคะ”
“บอสใหญ่ระบุให้ตัดสินกันที่คำถามเชาวน์”
ถามคำถามเชาวน์เพื่อคัดเลือกนายแบบ? พลอยขวัญนึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ทักท้วง เพราะพอจะรู้ดีว่าบอสใหญ่มักจะมีเทสนายแบบตามฉบับบอสบอส
ในเมื่อนายแบบทั้งหกคนมีคุณสมบัติทัดเทียมกัน บอสก็เลยให้ตอบคำถามเชาวน์แทนสินะ บอสคนนี้แปลกจริงๆ
พลอยขวัญเอะใจตั้งแต่ถูกเรียกตัวกลับมาบริษัทแล้ว ที่นี่มีระบบจ้างงานที่แปลกไปจากเดิม ประวัติการเรียนการทำงานสวยหรูไม่มีผลเท่ากับทัศนคติ พลอยขวัญสังเกตอยู่สักพักถึงจับทางได้ว่าบอสใหญ่คนใหม่ไม่ค่อยเคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติเท่าไหร่นัก พลอยขวัญจึงไม่แปลกใจเลยที่จู่ๆ บริษัทแฟชั่นจะมีชมรมเกมบิงโก ชมรมเกมออนไลน์ ตารางนัดปิ้งย่างประจำเดือน และมีรายการท่องเที่ยวให้เลือกใช้สิทธิ์ได้ปีละสิบห้าวันโดยที่ได้รับเงินเดือน
พลอยขวัญมองไปรอบๆ ตัว ทุกคนในสตูดิโอต่างมองมาที่เธออย่างรอคอย
สายตาของเธอพลันหยุดที่นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกซึ่งวางซ้อนๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง เธอจึงสุ่มหยิบมันขึ้นมาให้ทุกคนดูภาพ
“ทุกคนรู้จักสโตนเฮนจ์ใช่หรือไม่คะ”
“ครับ ปริศนาเก่าแก่ของโลก”
“ลองตอบมาสิว่าสโตนเฮนจ์สร้างได้อย่างไร และต้องใช้เวลาสร้างกี่ปี”
พอเอ่ยถามออกไปแล้ว พลอยขวัญก็นึกแย่ในใจ คำถามยากและกว้างแบบนี้คงจะหาคำตอบที่ถูกต้องให้พวกเขาไม่ได้เหมือนกัน แถมออกจะกวนโอ๊ยเกินไป พลอยขวัญจึงพนมมือเชิงขอโทษ บรรดานายแบบดูจะชอบเพราะคำถามกว้างๆ ก็แปลว่าตอบอย่างไรก็ได้ พวกเขาจึงมุ่งคิดหาคำตอบที่แสดงตัวตนหล่อๆ และเอาใจคนถาม เว้นก็แต่หนุ่มเติร์ด ที่ดูจะไม่สนใจประดิดประดอยคำตอบ
เขายักไหล่ มุมปากยังคงหยัดยิ้ม มิใช่เยาะหยันหรือเย่อหยิ่ง แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ว่าจะมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ร่วมโปรเจคงานนี้กับพลอยขวัญ
นายแบบบางคนตอบเดาส่งๆ บางคนตอบว่าเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาว คนไหนจินตนาการฟุ้งหน่อยก็ตอบว่าเป็นเวทย์มนต์ของผู้วิเศษเมอร์ลิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการคาดเดาส่งเดช เป็นมโนธรรมมากกว่ารูปธรรม มีเพียงหนุ่มเติร์ดที่ตอบออกมาเป็นตัวเลข
“ถ้ามีคนงานสัก 150 คน ผมสามารถสร้างสโตนเฮนจ์ได้ในเวลาประมาณยี่สิบปีครับ”
ทุกคนหันมามองหน้าแล้วหัวเราะ แต่คุณชูศักดิ์ซึ่งเป็นหัวหน้ากรรมการตัดสินนึกสนใจจึงขอคำอธิบาย
“ทำไมถึงคิดว่าสโตนเฮจน์ใช้เวลาสร้างยี่สิบปีครับ”
“ถ้ารู้ระยะทางขนแท่งหิน ก็จะประมาณเวลาได้ หินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหล่านั้นถูกนำมาจากเขาเพรเซลีซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 กิโลเมตร ส่วนหินโค้งวงแหวนและรูปเกือกม้าในวงนั้นเป็นหินทราย ขนมาจากทุ่งมาร์ลโบโรห่างออกไป 40 กิโลเมตร การจะขนหินหนักหลายสิบตันเอามาตั้งให้ตรงและวางคานหนักสิบตันโดยไม่มีรอกหรือปั้นจั่น”
เขาตอบเรื่อยๆ สบายๆ เหมือนกำลังเลคเชอร์
“ถ้าให้ผมหยั่งความคิดคนสร้างสิ่งมหัศจรรย์นี้ ผมเดาว่าเขาคงจะขุดหลุมลึกไว้ แล้วชักลากแท่งหินไปตามรางไม้ทาด้วยไขวัว แบบเดียวกับที่ปล่อยเรือให้ลาดไถลไปตามรางลาดลงน้ำ เมื่อเสาปักลงหลุมแล้วก็จัดการดึงให้ตรง เมื่อตั้งเสาหินคู่สำเร็จแล้ว ก็ทำรางลาดชัน ค่อยๆ ดึงคานขึ้นไปตามทางลาดจนเข้าที่ ซึ่งเคยมีการจำลองการสร้าง พวกเขาใช้แรงงานทหาร ตำรวจดับเพลิงและนักศึกษาจำนวน 130 คน ก็สามารถลากหินหนัก 45 ตันไปตามรางหล่อลื่นได้ ด้วยข้อมูลและสมมติฐานที่มี ผมจึงสรุปว่าใช้เวลาสร้างสโตนเฮนจ์ประมาณยี่สิบปีครับ”
เขาตอบด้วยการนำข้อมูลมาประมวลเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของการตลาด เพราะบางครั้งนักการตลาดก็ต้องใช้แนววิเคราะห์เช่นนี้เพื่อคำนวณหาตัวเลข อย่างเช่นถ้าอยากจะรู้ว่าพื้นที่นี้จะมีชอปปิ้งมอลล์เพิ่มอีกสักแห่ง จะมีปริมาณผู้เข้าใช้บริการต่อวันประมาณเท่าไหร่ นายแบบที่ชื่อเติร์ดคนนี้ไม่เพียงมีหลักการคิด ทั้งยังรอบรู้ไม่น้อย เดาว่าคงจะอ่านหนังสือมามากมายจนแตกฉานแน่นอน