บทที่ 2-1 พลอยขวัญ
ตอนที่พลอยขวัญมาถึงบริษัท การได้เจอสาวสวยโฉบเฉี่ยวในลิฟต์ ดูแล้วน่าจะอ่อนเยาว์กว่าเธอ พลอยขวัญอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองรองเท้าหัวแหลมมีสายรัดพันวุ่นวาย แล้วก้มดูคัทชูคู่เก่าของตัวเอง นั่นทำให้เธอรู้สึกผิดที่ผิดทาง
นับแต่นาทีแรกที่พลอยขวัญก้าวเข้าไปในบริษัทอีกครั้งในรอบหลายปี มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะมีใครเข้าใจ ทุกอย่างปรับเปลี่ยนไปจากที่เคยจำได้ และบอกยากว่าเธอจะกลับมาทำงานที่เคยทำได้ดีสักแค่ไหน มันเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมากๆ แล้ว
อันที่จริงช่วงหลายปีมานี้พลอยขวัญคลุกคลีอยู่กับงานสอนมากกว่า ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรหรือมีความดีความชอบอะไรเตะตาคนในวงการเลยสักนิด เรียกว่าเธอฝังตัวเองไว้ลึกและแน่นหนา แต่ถึงกระนั้นบอสคนใหม่ของบริษัทกลับนึกถึงเธอ
“บอสใหญ่บังเอิญเห็นแฟ้มผลงานที่เธอทิ้งไว้แล้วถูกใจมาก ยืนกรานว่าต้องการตัวเธอกลับมาทำงาน” พี่บุ้ง เจ้านายเก่าให้การต้อนรับเธออย่างเสียมิได้ น้ำเสียงก็ออกจะเสียดสีมากกว่ายกย่อง พลอยขวัญก็พอจะเข้าใจจึงมิได้ใส่ใจ
“บอสใหญ่คือใครหรือคะ”
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
“พี่บุ้งคะ” พลอยขวัญตัดสินใจพูดขึ้นมาพร้อมยกมือไหว้ “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร แต่พลอยติดค้างคำขอโทษพี่ค่ะ พลอยขอโทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน”
“เธอโตขึ้นนะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เด็กจบใหม่ไฟแรงอย่างเธอเป็นต้องฟาดฟันเอาชนะ ยึดเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งและไม่ยอมรับฟังความเห็นของใคร คิดแค่ว่าแน่วแน่แล้วก็ไม่ลังเลอีก เมื่อพลอยขวัญมองย้อนดูตัวเองกลับไปในวันวาน พลอยขวัญก็รู้สึกกระอักกระอ่วน ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“พลอยเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ขอบคุณพี่บุ้งที่ให้โอกาสนะคะ”
“เธอเป็นคนเก่ง เพียงแต่ยังไม่รู้วิธีใช้ความเก่งให้ถูกที่ถูกทาง จากนี้ไปก็พยายามให้มากขึ้นล่ะ” สีหน้าแววตาของพี่บุ้งดูจะเป็นพี่บุ้งที่เอ็นดูเธออีกครั้ง พี่บุ้งตบไหล่พลอยขวัญสองสามทีแล้วปลีกตัวจากไป พลอยขวัญทักทายเพื่อนร่วมงานทุกคนแม้ว่าจะมีแต่สายตาเย็นชากลับมาก็ตาม เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินมายังห้องทำงานสวยหรูซึ่งยี่หวายืนจังก้าอยู่หน้าประตู
“แม่นางฟ้าคนสวย เธอกลับมาที่นี่ทำไมอีกมิทราบ หรือคิดจะกลับมาขโมยงานไปขายอีกล่ะ”
“ขอโทษทีนะยี่หวา ช่วยหลีกทางให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
พลอยขวัญประสานมือเป็นรูปภูเขา มิได้ถือสาวาจาเสียดสีอะไรเพราะชินแล้ว มีแต่จะยิ้มประนีประนอมมากกว่าเพราะไม่ชอบมีเรื่องกับใคร “นี่ห้องทำงานของฉันเอง ขอบใจที่อุตส่าห์ช่วยเตรียมดอกไม้ต้อนรับให้นะ”
“ว...ว่ายังไงนะ ทำไมพี่บุ้งถึงให้เธอกลับมาทำงานได้”
“ได้ยินว่าบอสใหญ่ถูกใจงานที่ฉันทำให้เด็กๆ ที่โรงเรียนค่ะ เขารีเควสให้ฉันออกแบบชุดให้นายแบบใหม่เท่านั้น พี่บุ้งเลยตามฉันกลับมา ยี่หวาทำงานมาหลายปีแล้ว คงจะมีลูกค้าเลือกงานพี่ยี่หวาเยอะแยะแน่ๆ สินะคะ”
“บ...บอสให้เธอกลับมาทำงานอะไร”
“ขอยังไม่บอกค่ะ” พลอยขวัญเดินผ่านยี่หวาเข้าไปในห้อง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มบานแฉ่ง “เดี๋ยวมีคนไม่หวังดี แอบเอางานของฉันไปก่อเรื่องวุ่นวายอีก ฉันเข็ดแล้วค่ะ”
พลอยขวัญเป่าปากหลังจากยี่หวากระฟัดกระเฟียดออกไป เธอปิดประตูกระจกห้องทำงาน ยืนพิงครู่หนึ่ง อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบอสใหญ่ที่พี่บุ้งบอกมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีจริงก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วนายแบบใหม่ที่ว่าก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไรให้เลย ไม่ว่าจะธีมงาน อายุ รูปร่าง รสนิยม พื้นเพครอบครัว อาชีพการงาน สไตล์ที่ชอบ/ไม่ชอบ ความหมายที่อยากจะสื่อสารผ่านเสื้อผ้าคืออะไร ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต่อการออกแบบ แต่นี่พี่บุ้งไม่มีข้อมูลอะไรให้เลย บอกแค่ว่าออกแบบได้ตามสบายเลย
เรื่องวุ่นวายครั้งก่อน พี่บุ้งตัดสินใจทำลายออเดอร์ที่มีปัญหาทิ้งทั้งหมดเพื่อรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ มูลค่าความเสียหายหลักล้าน หากพิจารณาตามสามัญสำนึกแล้ว พลอยขวัญก็คิดว่ามีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบเงินก้อนนี้ด้วย พี่บุ้งคงจะตามตัวเธอกลับมาใช้หนี้กระมัง
คิดได้ดังนั้นพลอยขวัญก็เรียกแรงฮึบ
หลายปีมานี้ พลอยขวัญดูผอมลงไปเยอะ เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดที่ตัดใส่เอง เนื้อผ้าทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะเห็นลูกเล่นซ่อนอยู่ในงาน รวมไปถึงการแมตซ์สีและรูปแบบให้ส่งเสริมรูปร่างของตัวเอง ก็ทำให้พลอยขวัญน่ามองไม่แพ้ยี่หวาที่สวมแบรนด์เนมทั้งตัว เธอศึกษางานย้อนหลังของบริษัทเพื่อดูแนวโน้ม และเรียบเรียงการการทำงานให้เข้าที่ รวมไปถึงอ่านรายงานการประชุมเพื่อติดตามงานให้ทันคนอื่นๆ
ขั้นแรกเธอจะต้องรู้ให้ชัดเจนว่าเบื้องบนคาดหวังอะไรจากเธอ
ผู้ร่วมงานคาดหวังอะไรจากเธอ
การที่จู่ๆ ผู้บริหารใหม่จับเธอวางตำแหน่งหัวหน้า นั่นหมายความว่าเธอจะไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่ต้องเริ่มจากแปดหรือเก้า มีลูกน้องในสายบัญชาอีกโขยงหนึ่ง จะทำอย่างไรให้งานขับเคลื่อนไปได้ พลอยขวัญจึงวางแผนเป้าหมายสามสิบวัน หกสิบวันและเก้าสิบวันเอาไว้ เพื่อที่เธอจะได้ไม่เป๋แล้วถูกดีดออกไปเป็นรอบที่สองอีก
เข็มนาฬิกาเลื่อนมาถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว แต่พลอยขวัญหยิบห่อข้าวออกมาจากกระเป๋า นั่งกินเงียบๆ ในห้องทำงานและเร่งอ่านแฟ้มข้อมูลไปด้วย ทุกคนต้องเดินผ่านห้องของพลอยขวัญ มองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นพลอยขวัญกำลังตักข้าวเข้าปาก ข้าวกล่องที่มีแต่ข้าวกับเต้าหู้ผัดถั่วงอกง่ายๆ ก็เลยกลายเป็นหัวข้อซุบซิบของทุกแผนกไปในทันที
“ทุกคน... เราไปกินซูชิสายพานในห้างกันดีกว่า พี่เลี้ยงเอง”
ยี่หวาพูดเสียงดังข่ม เริ่มต้นดึงพวกเด็กในแผนกไปเป็นพวก “คนที่จะมาเป็นหัวหน้าน่ะ ถ้ามัวทำตัวยากจนขี้เหนียว มีแต่จะน่าอายนะว่ามั้ย แต่คนหน้าด้านบางคนคงจะไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ จะทำงานได้ถึงสิ้นเดือนรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังทำเป็นชูคอนั่งรอให้คนอื่นเป็นฝ่ายเข้าไปคารวะ แหม... ช่างกล้า”
พลอยขวัญไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะแสดงน้ำใจผูกสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีค่ากินแค่ห้าร้อย ถ้าไม่ประหยัดก็คงจะไม่รอดถึงสิ้นเดือนแน่ พลอยขวัญส่งยิ้มแห้งๆ ให้ทุกคน ก่อนจะถอนหายใจเมื่อยี่หวาเดินเชิด นำขบวนคนในแผนกออกไปจนหมด เหลือเพียงเธอคนเดียวกับแผนกว่างเปล่า
วันต่อมาพลอยขวัญแนะนำตัวต่อทุกคนที่จะกลายเป็นผู้ร่วมงานทุกแผนกในบริษัท ถึงจะมีเรื่องน่าอายในอดีตอยู่บ้าง แต่พลอยขวัญก็ยังคงยิ้มสดใสจนทุกคนเห็นแล้วต่างก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ พลอยขวัญแนะนำตัวเองง่ายๆ สบตาและเรียกชื่อทุกคนได้ถูกต้อง รวมไปถึงรู้รายละเอียดงานที่แต่ละคนมีจุดแข็งจุดอ่อน งานที่ถนัดหรืองานที่ไม่ถนัด เรื่องนี้สำคัญเพราะจะต้องหลีกเลี่ยงปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พลอยขวัญเริ่มต้นชวนคุยไม่นานก็พอจะจับสไตล์และวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่ได้บ้างแล้ว เชื่อว่าอีกสักพักเธอก็จะสามารถกลมกลืนเข้าไปการทำงานของที่นี่ได้โดยไม่เป็นแกะดำ
“วันนี้จะพาพวกเราไปเลี้ยงฉลองมั้ยล่ะ” พี่คนหนึ่งถาม พลอยขวัญไม่อยากโกหกจึงบอกไปตามตรงว่าตอนนี้เธอยังไม่มีเงิน
“ขอติดไว้ก่อน เอาไว้เงินเดือนออกก่อนนะคะ”
“ขี้เหนียวมากกว่าล่ะมั้ง ขนาดน้องยี่หวายังเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างให้เด็กเข้าใหม่ทุกคนเลย”
“เอ่อ... แบบนี้ก็แปลว่าพี่ปุ๊กต้องเลี้ยงพลอยสิคะ”
“อย่าลืมสิว่าเธอไม่ใช่พนักงานใหม่ของที่นี่สักหน่อย จะมีน้ำใจเลี้ยงหน่อยเป็นไรไป ในเมื่อเธอจะเป็นหัวหน้าพวกเราก็ควรแสดงความใจกว้างออกมาให้เห็นหน่อย น้องยี่หวาดีกว่าเธอเห็นๆ”
สรุปก็คืออยากจะกินฟรีสินะ... พลอยขวัญแอบปวดหัว งานการก็ทำเหมือนกันแต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบกดดันให้คนอื่นเลี้ยงข้าว ขณะที่บรรยากาศกำลังอิหลักอิเหลื่อ เมลของบริษัทก็เด้งเข้ามือถือของทุกคน
“จะให้เงินรางวัลหนึ่งหมื่นบาทสำหรับคนที่คิดไอเดียประหยัดเงินให้บริษัทได้?!”
ผู้บริหารใหม่คนนี้ขี้เล่นและใจถึงกว่าที่คิด ทุกคนในบริษัทพากันฮือฮา รีบช่วยกันคิดหาวิธีไปนำเสนอ ซึ่งเรื่องประหยัดเงิน คนที่กินแต่ขนมปังลดราคากับผักต้มเป็นเดือนๆ อย่างพลอยขวัญแน่ใจว่าไม่มีใครสู้เธอได้แน่ เธอจึงเมลตอบกลับไปทันที
“ตัดรางวัลเหลือห้าพันค่ะ ประหยัดเห็นๆ เลยห้าพัน”
ผลคือเธอได้รางวัลทันที พลอยขวัญก็เลยมีเงินมากพอ เย็นนี้จึงชวนทุกคนไปกินหมูกระทะกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่มันก็ช่วยคลี่คลายบรรยากาศไปได้มาก
โชคดีจริงๆ เรา