ตอนที่ 2 เรื่องราว
ซูฉีที่เป็นราวกับอากาศธาตุไร้ตัวตนยืนกำหมัดแน่น และอดที่จะคิดถึงเรื่องราวของพ่อตัวเองไม่ได้ ทำไมช่างคล้ายคลึงกันนักนะ
“ท่านพ่อ ...ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร หากท่านแม่รู้เข้า มีหวังเป็นลมแน่ ๆ” น้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเอ่ยขึ้นพูดลอย ๆ ไป
นางก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เดินออกจากห้องนอนของตนเอง เพื่อที่จะไปพบบิดาของตน ระหว่างทางสาวใช้เดินตามหลังก็ได้เอ่ยกล่าวขึ้น
“ไม่ได้เป็นลมเพียงอย่างเดียวเจ้าค่ะ ยังขอหย่ากับนายท่านด้วย ตอนนี้กำลังวุ่นวายทีเดียว” สาวใช้รีบเดินตามนายสาว คนสวยอย่างซูฉีสาวยุคสองพันเดินตามหลังไปติด ๆ อยากรู้นักว่าเกิดอะไรต่อจากนี้
“พี่ใหญ่เล่า กลับมาหรือยัง” เมิ่งลู่หลินต้องการคนช่วย พี่ใหญ่ของนางเป็นกุนซือข้างกายของท่านแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือ
ที่จะถึงกำหนดกลับ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะถึงเมืองหลวง พี่ใหญ่กลับมาคราวนี้จะประจำการที่เมืองหลวงเลยพร้อมกับท่านแม่ทัพ ที่นางถามนั้นเพราะในจดหมายแจ้งว่าจะกลับมาถึงจวนในวันนี้
“ยังเจ้าค่ะ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ดูท่าว่านายท่านไม่ยอมแน่เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบตอบและเดินจ้ำตามเจ้านายไปเรือนใหญ่ ในห้องโถงนั่น ก็พบกับสตรีคนนั้นและบุตรีที่อายุน่าจะห่างกับนาง
‘โห! นี่นังงูพิษนี่นา ร้ายนักนะ จะกี่ชาติก็ร่านไม่เลิก!’ ซูฉีที่เป็นแค่อากาศไร้ตัวตนถึงกลับหน้าขึ้นสีเดือดดาลไม่น้อย
อยากเข้าไปกระชากแล้วตบ ตบสั่งสองสักฉาดสองฉาดจริง ๆ‘แหม ๆ อยากย้อนอดีตได้จัง หากย้อนได้ล่ะก็นะ พวกแก! สองแม่ลูก ได้เจอฉันแน่! แม่จะเอาให้หยอดน้ำข้าวต้มเลย!’
เมิ่งลู่หลินรูปร่างบอบบาง แถมการเดินก็ดูจะอ้อนแอ้นไม่น้อย สาวใช้ที่ติดตามก็เร่งฝีเท้าให้รวดเร็วตามเจ้านายไปที่ห้องโถงใหญ่
ยามนี้บรรดาสาวใช้ในจวนต่างพากันไปนั่งรอเจ้านายแจ้งเรื่องสำคัญ เมิ่งลู่หลินมีสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก รีบเร่งเดินอย่างรวดเร็ว ไม่เนิบนาบชักช้าเหมือนเมื่อก่อน
ขณะเดียวกัน ซูฉีร่างไร้ตัวตนในสายตาใครต่อใคร ไปโผล่อยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว เห็นนังแม่ลูกนั่งหน้าสลดกำลังบีบน้ำตาให้ล่วงหยดราวกับไข่มุกลงที่พื้น ช่างดูเหมือนน่าสงสารเสียจริง
ซูฉียืนตัวสั่นเทิ้มหน้าแดงหน้าดำเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ‘แหม ๆ อยากจะกระชากหน้าสวย ๆ ลงมานอนกองกับพื้นแล้วกระทืบให้คาบาทาจริง ๆ’ ซูฉีสบถด่าอย่างแค้นเคืองอยู่ในใจ
นั่นเพราะสองแม่ลูกคู่นี้ หน้าตาเหมือนกับกับแม่เลี้ยงใจร้ายกับน้องสาวจอมตอแหลและเสแสร้ง คนโง่เท่านั้นแหละที่จะดูไม่ออก
ซูฉีพยายามจะคว้าผมของนังแม่เลี้ยงแล้วดึงทึ้ง ก็เพียงได้แค่คว้าลมเท่านั้น ทำให้เธอถอดใจ รอคอยเพียง
แค่เมิ่งลู่หลินคนงามใจบอบบางและแสนดีศรีสังคมโผล่หัวเข้ามาสักที
และแล้วความหวังก็โผล่หน้าเข้ามาจนได้ แค่อึดใจเดียวคนงามของซูฉีมาพร้อมกับสาวใช้ สีหน้าของซูฉีตอนนี้ยิ้มแป้นอวดฟันขาว คาดว่ายังไงเมิ่งลู่หลินไม่มีทางยอมแน่ ๆ
“หลินเอ๋อร์ มานี่สิ นี่แม่รองและน้องสาวของเจ้า”
ขุนนางเมิ่ง บิดาของเมิ่งลู่หลินกวักมือเรียกลูกสาวคนโตให้ไปนั่งข้าง ๆ กับตนเอง จะได้ทำความรู้จักกับแม่รองและน้องสาวหรือน้องสามของนาง
“หลินเอ๋อร์ ขอเสียมารยาทสักครั้งเจ้าค่ะ ท่านพ่อคิดดีแล้วหรือเจ้าคะ ที่ให้สตรีสองคนนี้เข้ามาอยู่ด้วยกันในจวน มิเห็นใจท่านแม่บ้างหรือเจ้าคะ” เป็นครั้งแรกที่สตรีอ่อนหวานเรียบร้อยอย่างเมิ่งลู่หลินเอ่ยจะโต้แย้งบิดา
ในความเห็นต่างของนางคิดว่าจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้เป็นแน่ นางถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดีให้เชื่อฟังบิดา มารดา ยามนี้นางขอขัดคำสั่งสักครั้ง เพื่อรักษาหน้าตาของมารดาที่รักและเถิดทูลยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด
นางทนไม่ได้ที่จะเห็นมารดาของหย่าร้างกับบิดา และทนเห็นมารดาร้องไห้ฟูมฟายกระทั่งเจ็บป่วยนางก็ไม่อาจยินยอมได้ นั่นคือหน้าที่ของนางที่ต้องปกป้องมารดา
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสอดเรื่องของข้าเช่นนี้ พ่อให้เจ้ามารับรู้ว่ามีแม่รองและน้องสามเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ต้องมาสู่รู้” ผู้เป็นบิดาหน้าขึ้นสีแดงดูน่ากลัวยิ่งนัก
บ่าวไพร่แต่ละคนล้วนหนีหายไปหมด เกรงว่าพายุลูกใหญ่ยักษ์กำลังจะถล่มลงมาที่จวนนี้ไม่ช้าไม่เร็วแน่
ซูฉีสาวยุคใหม่ไฟแรง ก็ร้องตะโกนด่าอย่างสุดเสียง แต่ทว่าเสียงของนางดูไร้ค่านักเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ยินสักครึ่งคำที่นางตะโกนด่าออกไปอย่างไม่มีชิ้นดี
ถ้อยคำหยาบคายถูกซูฉีด่ายันบุพการี ด้วยความแค้นชิงชังสองแม่ลูกเข้ากระดูกดำนัก ตัวเองยังหลงคิดว่า อยากจะเข้ามาอยู่ในร่างของเมิ่งลู่หลินสตรีอ่อนแอคนนี้เหลือเกิน
จะได้ถลกหนังหัวของสองแม่ลูกนี้เสียให้เข็ด นางจะประเคนส้นเท้างาม ๆ กระแทกเข้าอีกฝ่าย
‘ช่างมั่นหน้าเหลือเกิน’ แม้ว่าจะพยายามคว้าเส้นผมที่เป็นกลุ่มก้อนนั้น แต่ทว่าก็คว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่าทุกรอบไป
“ท่านพ่อ อย่าต่อว่าพี่สาวเลยเจ้าค่ะ พี่สาวยังไม่ได้ตั้งตัวจึงตกใจก็ไม่แปลก จริงหรือไม่เจ้าคะท่านแม่” น้องสาวต่างมารดา พูดเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วฟาดเข้าใส่พี่สาวเข้าให้แล้ว
มีหรือที่ว่าคนอย่างนางจะยอมอยู่นอกจวนตระกูลเมิ่ง อีกครั้ง พวกนางสองแม่ลูกไม่อยากจะถูกนินทาว่าร้ายอีกแล้ว ญาติพี่น้องก็ตราหน้าเป็นสตรีไร้ยางอาย แถมยังอับอายขายหน้ายิ่งนัก ยามเมื่อคนอื่นดูแคลน เหยียดหยาม
เมิ่งซูเม่ยได้แต่เฝ้ามองบรรดาเพื่อน ๆ ทั้งหลายที่มีบิดาโอบอุ้มดูแล แต่นางกับท่านแม่ไร้คนเหลียวแล มีแต่คนคอยซ้ำเติม เกิดมาต่ำต้อยมักจะมีแต่คนดูแคลน ยามนี้ในเมื่อโอกาสมาถึง ไยนางจะไม่รีบคว้าเอาไว้เล่า
“จริงอย่างที่เม่ยเอ๋อร์ พูด” หญิงสาวอายุไม่มากสักเท่าไหร่ ใบหน้าของนางก็มิได้งดงามมากนัก หากเทียบกับมารดาของเมิ่งลู่หลินแล้ว ท่านแม่ของนางสวยกว่าเยอะ
สตรีนางนี้ช่างมีจริตเจ้ามารยาไม่เบา จีบปากจีบคอดวงตาแดงก่ำแสร้งทำเสียงสั่นเครือ สะอื้นยังไม่พอยังยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอีกต่างหาก พูดเสียงสั่นเบา ๆ ต่อสามีที่รักและเอ็นดูนางสองคนแม่ลูก