ตอนที่ 2 ภารกิจเพื่อสาวใช้ร่างอวบ 2
ทุกคนในบ้านฟงล้วนมีความสุขในทุกๆ วัน
โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่เรียกได้ว่าสุขสมกันจนล้นปรี่ กระทั่งฝ่ายสตรีตั้งครรภ์กันอย่างถ้วนหน้า ทั้งนี้ คุณชายน้อยของบ้าน ฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิง จึงรู้สึกได้ว่า ภารกิจสำคัญที่มีต่อบิดามารดากระทั่งท่านอาทั้งหลายได้รับการปลดเปลื้องพันธนาการจากหัวใจดวงน้อยๆ ของพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกว่าแต่ล่ะวันที่ผ่านมานี้ช่างว่างเปล่ามากนัก วันหนึ่งๆ ไม่มีอะไรให้ทำเลย
เฮ้อ! ชีวิตน้อยๆ นี้ ได้รู้จักกับคำว่า
ไร้ความหมายอย่างแท้จริง
เด็กน้อยทั้งสองนั่งเท้าคางพร้อมทำหน้ายับยู่อยู่ในศาลากลางสวนสวยของจวนฟง
“ขนมรสเลิศกับน้ำชารสล้ำมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานๆ ของเสี่ยวชุ่ยดังขึ้น ทำเด็กน้อยทั้งสองที่นั่งเท้าคางต้องปรายตามองอย่างพร้อมเพรียง
สาวใช้ร่างอวบเอ่ยอีกครา “หากคุณชายน้อยไม่กิน ข้าน้อยไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะแย่งขนมของเจ้านายเพื่อล่อหลอกให้เจ้านายทั้งสองกินขนมอย่างว่าง่าย
“เจ้าไปที่ใดมา ข้านั่งรอเจ้าเสียตั้งนาน” ฟงหนิงอันเปรยขึ้นกับพี่เลี้ยงของตนด้วยท่าทางเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งรอบด้าน เพราะไม่มีอะไรให้ทำ เขาจึงรู้สึกได้ว่า ช่วงเวลาแค่เพียงเล็กน้อยที่นั่งรอคนสนิทก็เสมือนรอนานข้ามวันแล้ว
“ข้าน้อยไปส่งสารลับให้คุณชายรองตามหน้าที่อย่างไรเล่า” เสี่ยวชุ่ยบอกตามจริง ที่บ้านฟงนั้นเป็นแหล่งข่าวสำคัญจากทั่วสารทิศมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งทุกข่าวล้วนเป็นหน้าที่ของนางต้องเดินทางไปประสานกับเจ้านายด้วยตนเอง
ฟงหนิงเฉิงที่นั่งเงียบอยู่เป็นนาน เริ่มกลอกตาครุ่นคิดถึงการหาอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อยจึงฉุกใจคิดขึ้นได้บางประการเมื่อเห็นพี่เลี้ยงคนงามของตนถูกความอวบอัดบดบังจนความสวยหวานกลายเป็นสวยสะพรึงจนสิ้น
เด็กน้อยจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “พี่เสี่ยวชุ่ย ท่านมีคนรักแล้วหรือไม่?”
ทุกสิ่งที่คุณชายน้อยคิดล้วนเกินวัยทั้งสิ้น เสี่ยวชุ่ยรู้สึกชินเสียแล้ว นางจึงตอบรับตามตรงไม่มีปิดบังด้วยท่าทางเขินอายเป็นที่สุด
“อันที่จริง ข้าน้อยก็มีชายในดวงใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงพลันหูผึ่ง
“พี่เสี่ยวชุ่ยมีชายในดวงใจแล้วหรือ?” เด็กน้อยทั้งสองร้องถามพร้อมกัน
เสี่ยวชุ่ยก้มหน้าหลุบตาเม้มปากแน่น “เอ่ย...แต่ว่าเขาผู้นั้นมีคนรักเสียแล้ว”
“หา!” สองเด็กน้อยอุทานเสียงดัง
เสี่ยวชุ่ยยิ่งก้มหน้ารู้สึกเศร้าสลดฉับพลัน นางกำลังอยู่ในช่วงทำใจมิให้คิดถึงเขา เฮ้อ!
ฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงหันมามองหน้ากัน ดวงตากลมใสสีดำขลับเริ่มมีความหมายลึกลับส่งสะท้อนแวววาว
พวกเขามีงานทำแล้ว...
หึหึ! งานที่ว่าในครานี้ก็คือ พวกเขาจะบันดาลน้องน้อยใส่ท้องพี่เสี่ยวชุ่ย!
แต่อืม...สีหน้าเศร้าโศกของพี่เสี่ยวชุ่ยคืออันใด สองเด็กน้อยขมวดคิ้วพันกันพร้อมพาใบหน้ากลมเล็กขยับเข้าใกล้พี่เลี้ยงคนสนิทก่อนส่งสายตาดำขลับมองอย่างกดดันแล้วเอ่ยเสียงเข้ม “บอกความจริงมานะ!”
สาวใช้ร่างอวบถอนหายใจหนึ่งที แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวให้ฟังตามจริงทุกประการแก่คุณชายน้อยทั้งสอง
เรื่องราวทั้งหมดของเสี่ยวชุ่ยมีอยู่ว่า นางแอบหลงรักบุรุษผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งนางมิรู้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม เขาเป็นสมุนเจ้าสนธยาในอาณัติของพี่น้องบ้านฟง อันมีกฎเหล็กเรื่องห้ามเปิดเผยตัวตนและนามที่แท้จริง นางจึงมิกล้าสืบสาวว่าเขาเป็นใคร มีนามว่าอย่างไร
ชายผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เจ้าของสายตาคมเข้มที่แสนจะเย็นชาตลอดเวลา ท่าทางของเขาก็เคร่งขรึมเฉยเมยกับทุกสรรพสิ่ง ริมฝีปากของเขาไม่เคยแย้มยิ้ม ไม่แม้แต่จะชายตาแลเสี่ยวชุ่ยแม้เพียงชั่วอึดลมหายใจ
แต่กระนั้นเสี่ยวชุ่ยก็ยังคงรักปักใจยิ่งนัก อาจจะเป็นเพราะรักแรกพบเพียงครั้งเดียว หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่ไม่แยแสของเขาที่ล้วนแล้วแต่ตรึงตาตรึงใจนาง จนยากจะถอนคืน
กระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยวชุ่ยได้ออกสืบข่าวบางอย่างที่ต้องใช้ในการค้าของตระกูลฟงยังหอฟู่กุ้ย ในขณะที่เสี่ยวชุ่ยกำลังนั่งอยู่ในห้องอาหารของหอฟู่กุ้ยแห่งนี้ สายตาหรี่หยีของนางจึงได้บังเอิญหันไปเห็นชายในดวงใจโดยบังเอิญ นางดีใจมากที่ได้เจอชายที่ตนหลงรักปักใจ แม้จะเคยเจอหน้าแค่เพียงสองครั้ง ซึ่งครั้งนี้นับได้ว่าเป็นครั้งที่สองเท่านั้น
แต่ทว่านางกลับดีใจได้เพียงไม่นาน เมื่อชายคนนั้นที่นางแอบพึงใจพลันมีหญิงสาวงดงามนางหนึ่งเดินเข้าไปหาและนั่งที่โต๊ะตัวเดียวกัน ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ท่านั่งของทั้งสองก็เรียกได้ว่าแนบชิดเกินคนรู้จักธรรมดามากนัก ไหล่ของนางชนกับไหล่ของเขา ใบหน้าของทั้งสองยามเสวนาก็แทบจะชนกัน ดวงตาของฝ่ายชายมองฝ่ายหญิงอย่างกรุ้มกริ่ม ส่วนฝ่ายหญิงก็มองเขาอย่างหลงใหลยิ้มหวานหยาดเยิ้มให้ตลอดเวลา
เพียงไม่นาน สองชายหญิงคู่นั้นก็พากันลุกขึ้นแล้วเดินคลอเคลียไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางขึ้นชั้นสองของหอแห่งนี้ เสี่ยวชุ่ยรู้ดี ว่าชั้นสองของหอคือที่ใด
ที่นั่นคือห้องส่วนตัวมีไว้สำหรับคู่รักเข้าไปทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง
เสี่ยวชุ่ยนั่งมองคนทั้งสองด้วยหัวใจที่คล้ายกับถูกบีบเสียแน่นแล้วเหวี่ยงไปกลางอากาศ แต่ความเจ็บเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำให้เสี่ยวชุ่ยตัดใจจากชายผู้นั้นได้
นางจึงทำสิ่งที่ตนถนัด นั่นก็คือพาร่างอวบอัดของตัวเองที่เคลื่อนไหวได้พลิ้วไหวเหลือเกินตามบุคคลทั้งคู่ไปอย่างไม่อาจห้ามใจ
เสี่ยวชุ่ยนั้น ยามสืบข่าวทุกเรื่องราว ล้วนทำได้ไม่ยากเย็น ฝีมือของนางในการสืบข่าว ล้วนไร้ร่องรอยใดๆ และแล้วภาพที่เสี่ยวชุ่ยได้เห็นจากมุมมืดภายในห้องแห่งหนึ่งก็ยิ่งทำให้หัวใจที่ถูกบีบรัดต้องถูกบีบเค้นมากกว่าเดิม รวดร้าวแทบจะอาเจียน เมื่อชายผู้นั้นกำลังก้มหน้าจุมพิตกับหญิงผู้นั้นอย่างดูดดื่ม
ทั้งสองประคองกอดกันจนรัดแน่น แนบชิดทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ตั้งแต่ใบหน้าลงไป ลำตัวของทั้งสองบดเบียดกันจนได้ยินเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าที่เริ่มหลุดลุ่ย
ทั้งๆ ที่พวกเขายังยืนอยู่แท้ๆ ยังมิทันได้นอนราบลงบนเตียงเลย พวกเขายังร้อนแรงได้ถึงเพียงนี้ หากพวกเขาพากันจูบไปเดินไปจนถึงเตียงนอนเล่า จะร้อนเร่าปานใด
เสี่ยวชุ่ยยืนมองภาพบาดตาบาดใจมิอาจขยับ และเมื่อเรือนร่างเปล่าเปลือยของทั้งสองเริ่มทาบทับกันบนเตียงอุ่น นางจึงไม่อาจมองฉากร่วมรักของพวกเขาได้อีกต่อไป นางไม่อาจทนฟังเสียงครางน่าอายของพวกเขา นางจึงอำพรางตัววูบไหวหายไปคล้ายไร้ตัวตนในบัดดล
และนั่นคือจุดเริ่มต้นในความรักของนาง...
เจวียนชุ่ย