บทที่ 8
ภายในร้านอาหารอิตาลีที่มีสไตล์การตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะ และรูปจำลองสถานที่สำคัญในประเทศต้นกำเนิดของอาหารตรงหน้า ทำเอาเจ้าของเรือนร่างบางระหงต้องกวาดสายตามองไปทั่วร้านด้วยความพึงพอใจ และยังเอ่ยปากชมรสนิยมเลขาของธารวิชญ์ไม่ขาดปาก
"คุณกฤษนี่รสนิยมดีชะมัด ร้านนี้สวยมาก ฉันยังไม่เคยมาเลยนะเนี่ย เดี๋ยวว่างๆ ให้ช่วยแนะนำร้านอาหารให้บ้างดีกว่า ดูท่าคนนั้นจะเชี่ยวชาญกว่าเจ้านายเยอะ" เธอบอกและไม่วายแอบเหน็บคนที่เอาแต่นั่งตักสปาเก็ตตี้เข้าปากด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบมนุษย์ตายด้าน
ทว่าเขากลับไม่สนใจคำพูดของเธอมากมายนัก เพราะอีกฝ่ายกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจเรื่องข่าวของเธอที่น้องชายส่งมาให้ดู
หึ! เข้าโรงแรมกันสองต่อสอง
ตอนแรกธารวิชญ์ยอมรับว่าเขาไม่ได้รู้สึกพิศสวาทอะไรนางเอกสาวเลยแม้แต่น้อย หากแต่เขาหวงของ อะไรที่เป็นของๆ เขา ก็ต้องเป็นของเขาอยู่วันยังค่ำ ไม่เว้นแม้แต่คู่หมั้นอย่างเธอ
"รีบกินเถอะคุณมัด" ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ
"จะรีบไปไหน งานมันไม่วิ่งหนีคุณหรอกน่า"
"ไม่วิ่งหนีน่ะ ใช่ แต่ผมไม่อยากปล่อยให้มันค้างคา" คนบ้างานบอก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์สั่งให้เลขาเตรียมเอกสารสำคัญไว้รอเขาเหมือนทุกที
"ตอนกินข้าวคุณก็ยังทำงานหรอเนี่ย"
"อื้อ... บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ค้างคา"
"แล้วทำไมเรื่องงานแต่งงานของเราคุณถึงปล่อยให้มันค้างคาอยู่ได้ตั้งหลายปี นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ฉันจะยกขันหมากไปขอคุณเองแล้วนะ" หญิงสาวบอกกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทว่าคนฟังกลับหน้าตึงขึ้นมาซะอย่างนั้น
"ผมอยากมั่นใจกว่านี้ก่อนว่าเราจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ ต่อให้เราไม่ได้รักกันเหมือนคู่อื่น แต่การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมันก็สำคัญนะคุณมัด คุณคงไม่ได้อยากจะมานั่งทะเลาะกับผมทุกวันหรอกใช่ไหม ส่วนผมน่ะ... ถ้าคุณยังไม่เลิกเป็นข่าวแบบนั้นกับบรรดาพระเอกของคุณ ผมว่าผมต้องทะเลาะกับคุณเข้าสักวัน" ธารวิชญ์บอกเสียงเย็น เนื่องจากเขาหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินข่าวของเธอกับคนอื่น
พวกนั้นมันเป็นใคร... ทำไมต้องมาแตะต้องของๆ เขาด้วย
"มันเป็นงานของฉันนี่ ก็เป็นธรรมดาแหละน่า ที่ต้องมีข่าวบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรอกนะ คนที่เห็นเขาก็คิดไปเองทั้งนั้น" มาริสาบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ เพราะการที่เธอขยันเป็นข่าวมันทำให้เธอเป็นที่พูดถึง และมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย
"ถ้าแต่งงานกันแล้ว ออกจากวงการได้ไหม" เขาถาม
"ว่าไงนะ !?"
"ผมไม่ชอบ ออกจากวงการได้หรือเปล่า"
นี่เป็นครั้งแรกที่ธารวิชญ์ยอมเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแบบตรงไปตรงมา ทว่าคนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ
"ผมไม่อยากวุ่นวายกับนักข่าวอีก เดี๋ยวต้องมีรายการมาสัมภาษณ์ชีวิตหลังแต่งงานของคุณแน่ๆ จะมีลูกก็เป็นข่าว เลี้ยงลูกก็เป็นข่าว คุณชอบหรือไง"
"ถึงมันจะวุ่นวาย แต่ฉันก็มีความสุขนี่ ฉันไม่เคยขอให้คุณเลิกทำงานของคุณสักหน่อย ทนๆหน่อยเถอะ บอกเองไม่ใช่หรอ ว่าเราคงไม่ได้แต่งงานกันเร็วๆ นี้ กว่าเราจะแต่ง ฉันคงเล่นบทแม่แล้วมั้ง" นางเอกสาวบอกปัด เพราะเธอเข้าวงการมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางยอมออกง่ายๆ หรอก
"เฮ้อ... งั้นก็ช่างมันเถอะ" ร่างสูงตัดบท ก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เมื่อเขาทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนตรงหน้ายังเหลืออาหารพูนจาน
"คุณจะกลับก่อนก็ได้นะ" เธอบอก
"ทำไม"
"พอดีเคนไลน์มาว่าให้ฉันไปช่วยกล่อมแฟนเขาให้หน่อย สองคนนั้นมีเรื่องอนกันอีกแล้วน่ะ ฉันบอกให้เคนมารับที่นี่ก็ได้" มาริสาว่าพลางโบกโทรศัพท์ไปมาตรงหน้าเขา
คิ้วหนาที่ยาวเป็นเส้นตรงขมวดเข้าหากันแน่น ก่อนที่เขาจะคว้าโทรศัพท์ไปจากมือเธอ
"เอ๊ะ! จะทำอะไรน่ะ"
"ถ้าจะไป เดี๋ยวผมไปด้วย ไม่ต้องให้เขามา" ธารวิชญ์บอกพร้อมกับพิมพ์ข้อความบอกพระเอกหนุ่มอย่างรวดเร็ว
"อ้าว คุณไม่รีบไปทำงานแล้วหรอ"
"งานทำเมื่อไหร่ก็ได้" คนขี้หวงตอบอย่างลืมตัว แล้วฉุกคิดขึ้นได้ "...มันก็ไม่ได้รีบเท่าไหร่"
"แต่ต้องขับรถไปราชบุรีเลยนะ"
"ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ รีบกินได้แล้ว เดี๋ยวผมจะพาไปเอง" คนตัวโตบอกพร้อมทั้งส่งสายตาดุๆ มาให้เธอราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กในปกครอง
"แปลกคน ปกติชวนไปไหนก็ไม่ยักอยากไป" ร่างบางบ่น
"คุณมัด"
"อะไรอีกล่ะ อยากบ่นก็ไม่ได้หรือไง" คนเอาแต่ใจเงยหน้าขึ้นมาถาม
"อยากกินเองหรืออยากให้ผมป้อน"
"หา !?" มาริสาตกใจ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาอย่างนั้น ก่อนที่เธอจะกวาดตามองไปทั่วร้าน และเห็นว่าสบช่องทางสร้างข่าว จึงรีบยื่นช้อนกับส้อมไปให้เขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ป้อนสิ ช่วยแก้ข่าวรักร้าวให้หน่อยก็ดี"
"คุณนี่นะ" ชายหนุ่มบ่นขึ้นเบาๆ และยื่นมือออกไปรับช้อนมาถือไว้ เพื่อป้อนเธออย่างที่พูด
"ทำไมหรอ"
"ตัวจริงกับละครต่างกันนะ" เขาเปรยขึ้นมาเบาๆ แต่คนตั้งใจฟังได้ยินชัดเจน
"นี่คุณดูละครของฉันด้วยหรอ" นางเอกสาวถามด้วยความตื่นเต้น เพราะเธอคิดว่าคนอย่างเขาจะไม่ดูละครซะอีก
"ไม่ได้ตั้งใจดูหรอก แต่ไอ้ธาชอบเปิดทีวีทิ้งไว้" คนปากแข็งโกหกหน้าตาย แล้วตักสปาเกตตี้ป้อนอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกที
ไอ้ธาเปิดทีวีทิ้งไว้อะไรกัน...
เขาไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านหลายเดือนแล้วเถอะ!
"แล้วฉันแสดงดีไหม" เธอถามพร้อมทั้งส่งสายตาเป็นประกายเหมือนเด็กเล็กที่อยากให้เขาเอ่ยชมมากกว่าตำหนิ
"ก็... ดีนะ ปกติในละครไม่ยอมให้พระเอกป้อนนี่ แต่ดูคุณตอนนี้สิ ยื่นช้อนมาให้ซะงั้น"
มาริสาหัวเราะรวนเมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของเขา ซึ่งเธอรู้สึกชินมากกว่ารอยยิ้มตอนที่อยู่ในห้องทำงานของอีกฝ่ายเสียอีก
"ก็แน่สิ แล้วชีวิตจริงฉันจะเล่นตัวไปทำไมกัน คุณไม่ใช่พระเอกสักหน่อย"
มือหนาที่ตั้งท่าจะป้อนเธอหยุดชะงักไปกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะถามขึ้น "แล้วผมเป็นใคร"
"เป็นตัวประกอบ"
เหอะ!
ธารวิชญ์รู้สึกอยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วลากคนตรงหน้ากลับไปปล้ำจูบที่ห้องทำงานของเขาอีกรอบนัก กล้าดียังไงมาให้เขาเป็นตัวประกอบ ไม่รู้ซะแล้ว... ว่าไผเป็นไผ
"ตัวประกอบที่ไหนได้จูบนางเอก"
"หะ!"
คนโดนถามอุทานเสียงดัง แล้วเบิกตาโพลง
"พูดอะไรของคุณน่ะ รีบๆ ป้อนเถอะน่า"
"เขินหรอ" เขาถาม
"เชอะ! ฉันก็บอกแล้วไงว่าจูบมาเยอะ แค่นี้น่ะยัง จิ๊บๆ ใครมันจะไปเขิน" เธอตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้
"อยากจะลองแบบ 'ไม่จิ๊บ' ใช่ไหม"
"อะ อะไรเนี่ย รีบๆ ป้อนเถอะคุณธาร ถ้าไม่ถนัดฉันกินเองก็ได้นะ" มาริสาว่าพลางยื่นมือไปแย่งช้อนกับส้อมคืน ทว่าคนตรงหน้ากลับชักมือหลบเธอซะอย่างนั้น
"ผมจะป้อน" เขาบอก
"ย่ะ ถ้าจะป้อนก็รีบป้อนสิ อย่าพูดมาก"
ร่างบางแกล้งบ่นไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว หัวใจของเธอมันเต้นตึกตักอยู่ในอกจนแทบบ้า
ผู้ชายอะไรวะ อารมณ์แปรปรวนชิบเป๋ง!