บทที่ 6
ร่างสูงจับจูงคนที่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรให้เดินตามมานั่งที่โซฟา ก่อนที่เจ้าของห้องจะนั่งจุ้มปุ๊กลงข้างๆ เธออย่างรวดเร็ว
"อ้าว...ว ไหนว่ามีงานทำนักหนา แล้วทำไมมานั่งอยู่นี่ล่ะคุณ ใจคอคุณจะแกล้งให้ฉันทนหิวรอคุณหรือไงหะ คนอุตส่าห์ไม่เรื่องมากแล้วนะ ยังจะมาแกล้งกันอีก" หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นว่าคนที่เธอตั้งใจจะรอกินข้าวไม่ยอมไปทำงานต่อ แถมยังมานั่งจ้องหน้าตนอีก
"..."
"สรุปจะเอายังไงกันแน่ ถ้าจะไม่ไปกินข้าวด้วยกัน คุณก็ต้องยอมให้ฉันถ่ายรูปคู่ด้วยนะ อย่างน้อยฉันก็ต้องมีอะไรไปแก้ข่าวบ้าง" เจ้าของร่างสมส่วนบอกเสียงแข็ง เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ปิดปากเงียบ และจ้องมาที่ปากของเธอราวกับมันมีอะไรติดอยู่
"..."
"นี่! จะมองปากฉันทำไม ลิปสติกสีสวยหรอ"
"..."
"คุณธาร นี่คุณอย่าบอกนะว่าคุณสนใจลิปสติกของฉันน่ะ บ้าไปแล้ว! บอกฉันทีว่ามันไม่จริง คุณไม่ได้เป็น..." คนที่กำลังมโนเป็นตุเป็นตะเบิกตากว้างจนมันโตขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แถมเธอยังละล่ำละลักชี้หน้าเขาไปด้วย
"อย่าคิดเองเออเองสิคุณมัด"
คนโดนหาว่าคิดเองเออเองฟาดมือเล็กเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นใบหน้าสวยหวานเข้าไปมองเขาใกล้ๆ อย่างพิจารณา
"ถ้าคุณเป็น คุณบอกฉันได้เลยนะคุณธาร ฉันยินดีใช้ชีวิตร่วมกับคุณในฐานะเพื่อนสาวคนนึง" มาริสาบอกอย่างใจเย็น แม้ว่าเรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่ในหัวมันจะเป็นเรื่องใหญ่มากก็ตาม
"หึ! อยากจะคิดแบบนั้นก็คิดไปเถอะคุณมัด"
"โอ้วว...ว~ คำตอบเหมือนจะยอมรับด้วย คุณพระคุณเจ้า นอกจากชีวิตฉันจะต้องกลายมาเป็นนางเอกสาวที่สวยแล้ว ยังโดนสวรรค์ลิขิตมาให้สดและซิง จนวันตายด้วยหรอเนี่ย" ร่างบางว่าด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้ววางมือลงบนต้นขาของคู่สนทนาอย่างเข้าอกเข้าใจเต็มขั้น
"ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณเป็น"
"เฮ้อ..." ธารวิชญ์ถอนหายใจออกมาแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด เพราะดาราสาวเจ้าบทบาทมักจะชอบมโนไปเองแบบนี้ทุกที
"สัญญาเลยล่ะ ว่าฉันจะไม่บอกใคร"
"คุณมัด" เขาเรียก
"ว่าไงคะ เพื่อนสาว" มาริสาแกล้งเย้า
เมื่อได้ยินคำเรียกขานอย่างนั้น คนฟังก็จัดการใช้มือหนาล็อกเข้าที่ปลายคางมนของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเคลื่อนริมฝีปากหยักได้รูปเข้าไปฉกวูบดูดชิมความหวานจากปากเล็กที่เอาแต่พูดจ้อไม่หยุด
รสจุมพิตที่เร่าร้อนราวกับไฟบรรลัยกัลป์ แถมยังโหมกระหน่ำเข้าใส่เธอไม่ต่างจากพายุทอร์นาโด ทำให้เจ้าของเรือนร่างบางระหงที่เคยสบประมาทเอาไว้แทบตั้งตัวไม่ติด จนเกือบจะผงะหงายนอนลงไปตรงที่ว่างของโซฟาด้านหลัง
ทว่าเพียงแค่เธอคิด มือหนาอีกข้างของเขาก็ยกขึ้นมาดันไหล่มนให้นอนราบลงไปบนโซฟา ก่อนที่เจ้าของรูปร่างสูงโปร่งจะเคลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับ โดยที่ไม่ได้เลื่อนริมฝีปากออกไปแม้แต่วินาทีเดียว
"อื้อ..."
คนโดนผลักให้นอนลงไปอย่างกะทันหันร้องประท้วงในลำคอ แต่เธอก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะถูกริมฝีปากหยักดูดดึงกลีบปากบางเฉียบแบบเอาเป็เอาตาย แถมเรียวลิ้นอุ่นร้อนยังสอดแทรกเข้ามากวาดชิมความหวานในโพรงปากด้วยความกระหาย ราวกับเขากำลังควานหาน้ำดื่มในทะเลก็ไม่ปาน
ร่างบางที่ทำท่าว่าจะต่อต้านในตอนแรกถูกพิษของรสจูบเร่าร้อนหล่อหลอมจนเธอแทบละลายติดกับโซฟา มือเล็กที่ยกขึ้นมาหมายจะผลักเขาออกเป็นอันต้องอ่อนปลวกเปียกไร้เรี่ยวแรงราวกับคนเป็นอัมพาตเสียอย่างนั้น
ทว่ายิ่งเห็นคนตรงหน้าอ่อนระทวยมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มกลับยิ่งรุกไล่เธอมากขึ้นเท่านั้น ด้วยการลากไล้มือหนาเข้าสัมผัสกับเอวขอดกิ่วและลูบคลำมันตามสัญชาตญาณที่ซุกซ่อนอยู่
ปากหยักขบเม้มปรนเปรอรสจุมพิตเร่าร้อนให้เธอไม่หยุด จนเรียวปากเล็กบวมเจ่อ ก่อนที่สติของเธอจะเริ่มพร่าเลือนเพราะถูกคนจูบเก่งเว่อร์ๆ ล่อลวงให้ตกลงไปในหลุม
มือหนาสอดเข้าไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอซิปชุดเดรสรัดรูปที่เธอสวมอยู่ ก่อนจะรูดมันลงไปจนถึงบั้นเอวขอดและสอดมือเข้าไปปลดตะขอบราที่อยู่กึ่งกลางแผ่นหลังเนียนอย่างรวดเร็ว
เขาลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเปือยเปล่า พร้อมทั้งดันให้คนใต้ร่างแอ่นตัวเข้ารับสัมผัสจากเขาไปด้วยอย่างลุ่มหลงในตัวเธอไม่ต่างกัน
ก๊อกๆ ก๊อก!
"บอสครับ จะให้ผมจองร้านอาหารไว้ไหมครับ"
เสียงเลขาถามขึ้นอย่างรู้งาน เพราะทุกครั้งที่มาริสามา เจ้านายของเขามักจะสั่งให้จองร้านอาหารที่ไหนสักแห่งไว้รับประทานอาหารกลางวันพร้อมเธอ แต่ตอนนี้...
เขากำลังมาขัดจังหวะ!
"Shit!" ธารวิชญ์สบถออกมาอย่างหัวเสีย เมื่อเห็นว่าร่างบางที่อยู่ใต้ร่างเขาเริ่มได้สติ และพยายามผลักไสให้เขาออกห่าง
"เอ่อ... ละ ลุกๆ ลุกออกไปได้แล้ว" หญิงสาวบอกเสียงสั่น เพราะเมื่อสักครู่เธอพลาดท่าเสียทีให้เขาเป็นการใหญ่ จนมันเกือบจะเตลิดไปถึงไหนต่อแล้วด้วยซ้ำ
เจ้าของร่างสูงยอมผละออกไปจากเธอเพียงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะตะโกนตอบเลขา "เออ ไปเลือกมาสักร้านไป"
มาริสาพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่เมื่อนึกได้ว่าตอนนี้เสื้อผ้าของตัวเองไม่เรียบร้อยขนาดไหน ร่างบางก็จำต้องรีบนอนลงไปตามเดิม
"เป็นยังไงบ้างคุณมัด" เขาหันมาถาม