บทที่ 5
"คราวนี้ก็ยอมถ่ายให้ฉันหน่อยนะคุณ ข่าวมันค่อนข้างจะแรงกว่าปกตินิดหน่อย แถมคนที่ฉันเป็นข่าวด้วยก็กำลังจะแต่งงานแล้ว ฉันโดนคนในโซเชี่ยลถล่มตั้งแต่เช้าเลยนะเนี่ย"
"สมควร" เขาตอบสั้นๆ
"เอ๊ะ!"
"รู้ว่าเขาจะแต่งงานแล้ว ก็ยังไปทำให้เป็นข่าวอีก"
"ก็นั่นมันเพื่อนสนิทฉันนี่ การที่ฉันกลับบ้านพร้อมเขาไปกินข้าวกับเขา แล้วก็เข้าโรงแรมกับเขามันแปลกตรงไหนไม่ทราบ" มาริสาบ่นยาวเหยียด แต่คนฟังกลับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเธอ
"เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"
"โหยย...ย เมื่อกี้ฉันพูดไปตั้งยาว ให้พูดใหม่ก็จำไม่ได้แล้ว" เธอบอกปัด เพราะขี้เกียจจะพูดซ้ำ
"ผมได้ยินว่า... คุณเข้าโรงแรมกับเขา"
"อ้อ นั่นก็ใช่ ฉันเข้าโรงแรมกับเขา แต่เราเปิดสองห้อง มันแปลกตรงไหนเนี่ย ทำไมใครๆ ก็ชอบคิดว่าเราไปทำเรื่องอย่างว่า ฉันกับเคนมีสามัญสำนึกเหอะ แถมอีตานั่นก็ออกจะรักแฟนซะขนาดนั้น โถ่เอ๊ย! พูดแล้วก็หงุดหงิด" นางเอกสาวบ่นขึ้นมาอีกยก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วหยิบแก้วน้ำของเขาไปดื่มหน้าตาเฉย
"ไม่ว่าจะเปิดอีกสักกี่ห้อง แต่การที่คุณเข้าโรงแรมกับเขา มันก็ไม่สมควรทั้งนั้นแหละ" ธารวิชญ์บอกด้วยสีหน้าเรียบตึง
"ก็เราบริสุทธิ์ใจ" คนเอาแต่ใจแย้ง
"แล้วคนอื่นเขารู้ไหม"
"ก็เพราะไม่รู้นี่ไง ฉันถึงต้องมาถ่ายรูปคู่กับคุณ"
"แก้ปัญหาที่ปลายเหตุอีกตามเคย" ร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานบ่นขึ้น เนื่องจากเขามักจะกลายเป็นเครื่องมือแก้ข่าวของเธอเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
"ฉันมีวิธีอื่นให้แก้ด้วยหรือไง"
"มีสิ"
"วิธีไหนล่ะ" นางเอกสาวถามพลางมองหน้าเขาอย่างตั้งใจฟัง
"เลิกเป็นข่าว"
"โอ๊ยย! ฉันเป็นดาราที่ฮอตปรอทแตกนะคะคุณคู่หมั้น จะทำอะไรก็มีแต่คนจับตามองทั้งนั้นแหละ แค่เดินเข้ามาในบริษัทคุณหลังจากที่มีข่าวเมื่อเช้า ก็เป็นที่พูดถึงแล้วเถอะ"
"ถ้าอย่างนั้นรูปคู่ก็คงไม่จำเป็นแล้วใช่ไหม" เขาถาม
"ไม่ใช่"
"เฮ้อ... ผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ถ่าย"
"ทำไม กลัวกล้องหรอ" มาริสาถามกลั้วหัวเราะ
"ผมไม่ชอบถ่ายรูป แล้วก็ไม่อยากให้นักข่าวมาวุ่นวายกับผมด้วย"
"แต่คุณมีคู่หมั้นเป็นดารา ควรจะทำตัวให้ชินได้แล้ว"
"ผมไม่ชอบให้ชีวิตตัวเองวุ่นวายจริงๆ นะคุณมัด" คนรักสันโดษตอบเสียงเครียด แต่แน่นอนว่ามันไม่เคยมีผลอะไรกับมาริสา
"เอาน่า แต่งงานกันไป คุณก็ต้องเป็นข่าวอยู่ดี" เธอว่า
"คงไม่ได้แต่งเร็วๆ นี้หรอก" เขาตอกกลับบ้าง ทำเอาร่างบางชะงักกึกเมื่อถูกพูดแทงใจดำ ก่อนจะกะพริบตาเรียกสติและสวนคืนไปอย่างไม่ยอมลดราวาศอก
"แต่งๆ ไปเถอะ ผู้ชายจืดชืดอย่างคุณ ไม่ใช่สเป็คฉันหรอก"
ธารวิชญ์หรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างยั้งเชิง แล้วถามขึ้น "รู้ได้ยังไงว่าผู้ชายแบบผมมันจืดชืด"
"ก็วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากงาน แถมมีหน้าเดียวไปอีก ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจตรงไหน ใช้ชีวิตน่าเบื่อมาก ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยสักนิด" คนร่างบางจีบปากจีบคอวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของคู่หมั้นอย่างออกรส ก่อนจะลุกขึ้นยืนและคว้าหมับเข้าที่เนคไทของอีกฝ่าย
"จะทำอะไร" เขาถาม
"จะจูบเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย" มาริสาสบประมาทพลางมองเขาด้วยสายตาเย้ยหยันสุดฤทธิ์
"อยากจะลองดูไหมล่ะ"
"เหอะ! ไม่ล่ะ พระเอกในละครของฉันคงจูบได้ดีกว่าคุณมาก...ก แล้วฉันก็ชินกับจูบแบบนั้น มากกว่าจูบจืดชืดไร้รสชาติจากคุณ" สาวแสบข่มเขา แล้วคลี่ยิ้มร้ายกาจจนหมดลุคนางเอก
"พูดอย่างกับว่าเคยจูบ"
"อุ๊ย! ก็ดีแล้วย่ะ ที่ไม่เคย" มาริสาบอกกลั้วหัวเราะ แล้วปล่อยมือออกจากเนคไทของเขาด้วยท่าทางยั่วยวนเหมือนนางแบบชุดชั้นใน "เอาเป็นว่าฉันจะไปรอที่โซฟานะ"
"ทำไมต้องรอ"
"ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันหน่อย กินที่แคนทีนในบริษัทคุณก็ได้ วันนี้ฉันจะไม่เรื่องมากเรื่องกินหนึ่งวัน" ว่าจบเธอก็ทำท่าจะเดินไปนั่งที่โซฟาเพื่อรอเขาอย่างที่พูด ทว่า...
"เดี๋ยว!"
"มีอะไรหรอ หรือว่าไม่ได้อีก"
"ไปกินข้าวน่ะได้ แต่เรายังไม่หมดเรื่องคุย" ธารวิชญ์บอกพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้ แล้วจูงมือเธอเดินไปยังโซฟาที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
"จะทำอะไรของคุณอีกล่ะ ใจคอจะจัดแจงท่านั่งให้ฉันด้วยเลยหรือไง" หญิงสาวถาม
"จะทำให้คุณ 'รู้' ต่างหาก"