บทที่ 5
ประตูห้องเปิดออกและเฟธก็เดินยิ้มกว้างออกมาไทเลอร์ สก็อตต์ ยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน จับปลายคางเขย่าอย่างรักใคร่
“ไฮ...รู้ไหมว่าลูกน่ะทำให้พ่อห่วงมาก ตอนนี้ค่อยยังชั่วหรือยังล่ะ?”
“ค่ะแด้ดดี้...หนูขอโทษค่ะ ที่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น แต่หนู..เอ้อ...หนู...”
“ไม่ต้องอธิบายหรอก มิส แอชตันเขาอธิบายแทนลูกหมดแล้ว เอ้า...ไปขอบใจเธอเสียสิลูก เราจะได้ไปกัน นอกเสียจากลูกอยากจะนอนอยู่แต่ในห้องปฐมพยาบาลนี่ทั้งวัน” เขาพูดล้อๆ
“ไม่เอา...” เฟธหัวเราะคิกคัก แสดงท่าเหมือนอยากจะกอดผู้เป็นบิดาเหลือเกินแต่ก็ไม่ได้ทำ แต่เจ้าหล่อนกลับหันมาหาเฮลเล่ย์ ซึ่งยังคงนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวเดิม ราวร่างถูกตรึงไว้ให้นั่งอยู่แต่ตรงนั้น...
“ขอบคุณค่ะ เฮลเล่ย์...หนูยังไม่รู้เลยนะคะว่าจะทำยังไงถ้าคุณไม่มาช่วย คุณยอดเยี่ยมที่สุดเลยละค่ะ”
“ขอบใจนะคะที่ชมเสียเลิศเลอเลย ฉันดีใจค่ะที่ยังพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง หนูคิดว่าที่ถูกผึ้งต่อยไว้มันจะเจ็บขึ้นมาอีกไหมล่ะคะ?”
“ไม่ค่ะ ตอนนี้หนูไม่เจ็บแล้ว”
“คอยดูด้วยนะ เผื่อว่ามันจะบวมหรือแดงขึ้นกว่าตอนนี้พิษแมลงบางชนิดก็เป็นอันตรายร้ายแรงได้” แม้จะทำใจได้ยากกระนั้นเธอก็จำต้องหันไปสบตาคู่ที่กำลังจรดจ้องมองเธออยู่ “ฉันคิดว่าก่อนกลับบ้าน คุณควรจะมารับยาป้องกันพิษให้แกหน่อยนะคะ มิสเตอร์ สก็อตต์”
“เป็นคำแนะนำที่ดีทีเดียว มิส แอชตัน ยาอะไรล่ะ?”
เธอรีบเขียนชื่อยาประเภทน้ำมันลงบนกระดาษและยื่นให้ แทนที่เขาจะรับกระดาษมา... เขากลับจับข้อมือเธอไว้
“แล้วผมจะมา...” เขาพูดเสียงต่ำๆ เหมือนข่มขู่ และราวจะเป็นการเน้นในคำพูดนั้น นิ้วหัวแม่มือของเขาลูบไล้ขึ้นมาถึงอุ้งมือ จนเมื่อเขาใช้อีกมือหนึ่งดึงกระดาษแผ่นนั้นไปจากมือเธอแล้ว จึงได้ปล่อยให้เธอเป็นอิสระ”
“เฟธ...?” เขาหันไปเรียกลูกสาว ก่อนจะเปิดประตูรุนร่างเล็กๆ ออกไปสู้ความร้อนของอากาศภายนอก ขณะที่เฮลเล่ย์นั่งเนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเย็นที่เกิดก่ออยู่ภายใน
ทำไมเธอถึงได้ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้นนะ...? นับแต่นาทีแรกที่เธอเห็นหน้าไทเลอร์ สก็อตต์ เขาก็ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับเธอเสียแล้ว เธอจึงตอบโต้ด้วยการแสดงความหยาบคายใส่เขา...เธอรู้สึกสะใจยิ่งนักที่สามารถทำให้เขารู้สึกร้อนรนกระวนกระวายมากขึ้น และสะใจยิ่งกว่านั้น เมื่อทำให้เขาต้องเดินมาที่อาคารปฐมพยาบาลด้วยตัวเอง ทั้งที่บนรถกอล์ฟคันนั้นมีที่เหลือเฟือที่เขาจะนั่งมาด้วยได้ การคิดแก้แค้นใครเพื่อความสะใจเช่นนี้ ไม่ใช่ปกติวิสัยของเฮลเล่ย์ แอชตันเลย...
เธอเขียนโน้ตสั้นๆ อธิบายให้นางพยาบาลประจำห้องปฐมพยาบาลทราบ ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นก็ออกจากห้องปฐมพยาบาล ถามตัวเองอยู่ว่า ควรเรียกหัวหน้าฝ่ายต่างๆ มาพบและบอกให้ทุกคนรู้ตัวล่วงหน้า ว่าขณะนี้นายจ้างของพวกเขากำลังอยู่ในสวนสนุกดีหรือไม่...? แต่ก็ค้านความคิดของตัวเองอยู่ว่า...อย่าดีกว่า เพราะเท่าที่ผ่านมา เธอก็ยั่วโทสะมิสเตอร์ สก็อตต์มามากพอแล้ว เธอควรจะทำตัวให้เงียบสงบไว้จนกว่าจะได้รับการติดต่อจากเขาจะดีกว่า เธอหวังได้แค่เพียงว่า เมื่อเพื่อนร่วมงานทั้งหลายได้เผชิญหน้ากับเขาจะสามารถสนองความพอใจของเขาได้อย่างดี
เธอเดินผ่านไปตามส่วนต่างๆ ภายในสวนสนุกอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้คำนึงว่าตัวเองกำลังจะเดินไปตรงไหนเสียด้วยซ้ำ ตลอดเวลาสี่ปีที่ทำงานอยู่กับสวนสนุกซิเรนดิพิตี้แห่งนี้มันแทบจะกลายเป็นบ้านของเธอไปเสียแล้ว เธอรู้จักมันแทบทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดิน เส้นทางน้ำ ตำแหน่งที่ตั้งของร้านค้าประเภทต่างๆ บริเวณที่จัดไว้เป็นสวนอาหารโรงละคร และจุดน่าสนใจอื่นๆ และเพื่อทำให้งานในหน้าที่ดำเนินไปด้วยความราบรื่น เฮลเล่ย์ถือว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับทุกองค์ประกอบสำคัญของสวนสนุกแห่งนี้
สิ่งที่เป็นความตั้งใจสูงสุดของเฮลเล่ย์ คือจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ทุกคนต่างรู้ดีว่าเธอเป็นผู้บริหารคนหนึ่งที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง แล้วจะไม่ให้ใครแปลกใจได้อย่างไรถ้าจะต้องรับรู้ว่า เธอถูกไล่ออกเพราะไปแสดงอารมณ์ใส่แขกของสวนสนุก โดยหารู้ไม่ว่าเขาคือไทเลอร์ สก็อตต์...?
เธอเพิ่งเข้าทำงานกับซิเรนดิพิตี้ได้แค่ปีเดียว ตอนที่สวนสนุกแห่งนี้ถูกขายต่อให้กับสก็อตต์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ออฟ แอตแลนต้า และมันก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของบรรษัทธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั้นทั้งนี้เพราะสก็อตต์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ รวมไปถึงบริษัทบ้านและที่ดิน โรงเลื่อยจักร บริษัทคอมพิวเตอร์ห้างสรรพสินค้า บริษัทเพื่อการพัฒนาที่ดินและบ้าน และยังรวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ด้วย
มันมีเรื่องตลกที่เล่าขานกันในฝ่ายบริหารของสวนสนุกแห่งนี้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไทเลอร์ สก็อตต์ ไม่ได้มีตัวตนเป็นคนจริงๆ หรอก ชื่อซิเรนดิพิตี้นั้นตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกผู้เฒ่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อนธุรกิจส่วนใหญ่ของเขากระทำผ่านบริษัทตัวแทน ดังนั้นจึงมีการคาดเดาเกิดขึ้นว่า ไม่เคยมีผู้ชายคนที่ชื่อไทเลอร์ สก็อตต์ อยู่ในโลกนี้...!
เฮลเล่ย์ยิ้มเศร้าอยู่กับตัวเอง บัดนี้เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าไทเลอร์ สก็อตต์ เป็นคนจริงๆ ทั้งคำว่า “ผู้เฒ่า” ก็ไม่อาจนำมาใช้กับเขาได้ด้วย... โดยเฉพาะกับร่างสูงสง่า ผึ่งผายด้วย แผงไหล่กับแผงอกกว้างเช่นนั้น..เขาเป็นชายชาตรีผู้มีเลือดเนื้ออย่างแท้จริง...
ผู้ชายลักษณะนั้นจะทำอย่างไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือว่ามีความสามารถในการจัดการกับ “แขก” ประเภทต่างๆ ของสวนสนุกแห่งนี้ เป็นพนักงานคนหนึ่งที่มีความตั้งมั่นในอันที่จะทำให้แขกทุกคนที่มาเยือน ได้รับความสะดวกสบายทุกประการ ทว่ากลับแสดงพฤติกรรมแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้เป็น “นาย” อย่างแท้จริงของตนเอง...เธออยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะอย่างไรกับเธอต่อไป...?
สามทุ่มเศษแล้วกว่าที่เฮลเล่ย์จะกลับถึงบ้าน...หน้าที่สุดท้ายของเธอในวันนี้คือการดูแลให้ลูกเสือหนึ่งร้อย
สามสิบคน ที่มาพักเข้าค่ายเป็นรายการพิเศษ เก็บไม้ง่ามที่ใช้สำหรับการเดินทางไกลให้เข้าที่เรียบร้อยเสียก่อน เพราะก่อนหน้านั้น พวกเด็กๆ เริ่มเอาไม้เป็นอาวุธประจำกายมาไล่ทิ่มแทงกันเองแล้ว
เธอถอดรองเท้าทิ้งไว้หน้าประตูบ้าน โยนเสื้อเบลเซอร์พาดไว้กับพนักเก้าอี้ แล้วก็เดินเข้าไปในครัวโดยอัตโนมัติเปิดตู้เย็นดูว่าพอจะมีอะไรที่แปลกและแตกต่างให้กินได้บ้าง แต่แล้วก็ต้องครางออกมาบอกกับตัวเองขณะเดินต่อไปยังห้องนอนว่า...ในที่สุด วันนี้ก็ต้องกินออมเล็ตอีกมื้อหนึ่งแล้ว
เธอเพิ่งถอดชุดเครื่องแบบออกตอนที่มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น
“เฮลโล...?”
“คุณจะรับโทรศัพท์แบบเก็บเงินปลายทางจากเอลเลน แอชตันไหมคะ?”
“รับค่ะ” เฮลเล่ย์ตอบอย่างอ่อนใจ
“ไฮ...พี่สาว...”
เฮลเล่ย์รู้สึกหงุดหงิดที่เอลเลนใช้โทรศัพท์ชนิดเรียกเก็บเงินปลายทางอีกแล้ว แต่แล้วก็อดละอายใจไม่ได้ที่
คิดอะไรแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะวันนี้เธอมีเรื่องยุ่งยากมากไปนั่นเอง และไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะโมโหใส่น้องสาว
“ไฮ...เอลเลน เป็นยังไงบ้างล่ะ?” เธอรู้ก่อนหน้าที่จะตั้งคำถามประโยคนั้นออกไปอยู่แล้ว ว่าเธอจะต้องรับฟังการสาธยายยืดยาวถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเอลเลนในช่วงนี้ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า เธอจะต้องจ่ายค่าโทรศัพท์แสนแพงนี้ด้วยเงินของตัวเอง เฮลเล่ย์ทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียงเตรียมพร้อมที่จะรับฟังเต็มที่
เฮลเล่ย์ไม่เคยให้เครดิตตัวเองว่าเป็นผู้หญิงสวยเก๋มีเสน่ห์คนหนึ่ง แต่กลับมีความรู้สึกว่าน้องสาว ซึ่งอ่อนวัยกว่าสองปี เป็นคนสวยอย่างน่าทึ่ง สีผมของเฮลเล่ย์เป็นสีแดงแกมทอง แต่ของเอลเลนนั้นแทบไม่ต่างกว่าเปลวไฟ เฮลเล่ย์มีเรือนร่างสูงโปร่ง แต่เธอกลับคิดว่าตัวเองผอมเกินไป แต่สำหรับเอลเลนแล้ว พอพ้นวัยรุ่นก้าวขึ้นสู่วัยสาวก็มีเนื้อหนังเต็มตัวน่าจับต้อง
เฮลเล่ย์นั้นเป็นบุคคลที่สามารถเชื่อถือได้ ในขณะที่เอลเลนไม่ชอบรับผิดชอบไม่ว่าจะเรื่องอะไรทั้งสิ้น แต่เธอก็ช่างสวย ช่างพูดเล่นเจรจาจนเป็นที่รักใคร่ของผู้คนทั่วไป แม้เธอจะลาออกจากงานบ่อยครั้ง แต่ไม่ช้าไม่นาน เธอก็สามารถจะสร้างแรงจูงใจให้ใครสักคนรับเธอเข้าทำงานได้อยู่ดี แม้เธอจะมีความสามารถเพียงระดับปานกลางก็ตาม
“...ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเธอจะมีความสุขกับงานใหม่ที่กำลังทำอยู่มากกว่าที่เดิมนะ” เฮลเล่ย์ขัดขึ้น เมื่อเอลเลนเว้นระยะเพื่อหายใจ หลังจากที่พูดเป็นต่อยหอยมาตลอด
“โอ...แน่นอนเลยละ เจ้านายก็สุภาพกว่าแยะ แม่พวกผู้หญิงที่บริษัทเก่าน่ะชอบจับผิดฉันอยู่เรื่อย ก็คงจะเป็นเพราะอิจฉานั่นแหละ แล้วก็ชอบเก็บเรื่องอะไรต่อมิอะไรไปฟ้องนายอยู่ตลอดเวลา ที่ฉันลาออกมาเพราะต้องการให้จิตใจตัวเองสงบมากกว่า”
เฮลเล่ย์ออกจะสงสัยว่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้น้องสาวต้องลาออกจากงานเก่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เธอไม่อยากขัดคอ โดยความเป็นจริงแล้ว เฮลเล่ย์มีความคิดอยู่ว่า น้องสาวของเธอไม่ชอบการหางานทำเท่าไรนัก เพราะการทำงานไม่เหมาะกับนิสัยของเจ้าหล่อน เอลเลนน่าจะได้พบกับผู้ชายรวยๆ สักคน ที่รักและตามใจยอมให้เจ้าหล่อนนั่งกินนอนกินไปได้ตลอดชีวิตมากกว่า
“ตอนนี้ฉันมีเพื่อนใหม่แล้วนะเฮลเล่ย์ เราออกเดทกันทุกคืนเลย สนุกเป็นบ้า...”
“ก็ดีแล้วละเอลเลน”