บทที่ 9
“การเรียนจะได้ผลดีหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับอาจารย์และลูกศิษย์ หาใช่สถานที่เรียนไม่”
หลิวซืออิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจดวงหน้าเปลี่ยนสีของคุณชายเฉินซัวเหยียน ประโยคที่นางเอ่ยคือประโยคที่ฮูหยินเฉินหมั่นพร่ำสอนนางยามท้อถอยกับการเรียน และนางมั่นใจว่าฮูหยินจะต้องเอ่ยกับบุตรชายคนเดียวของนางเช่นกัน
“เจ้าไปได้ยินประโยคนี้มาจากที่ใดกัน”
“เป็นประโยคที่อาจารย์ใช้สอนลูกศิษย์ในสำนักศึกษาชงหยวน ยามเบื่อห้องเรียน เรามักจะเปลี่ยนสถานที่ไปยังสวนดอกไม้ หรือริมน้ำตก วันนี้ข้าเห็นว่าอากาศยังดีอยู่ จึงถือโอกาสเก็บเกี่ยวความทรงจำก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือน”
“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิดนัก”
เฉินซัวเหยียนเองก็เคยศึกษาในสำนักศึกษาชงหยวน จึงยังจำบรรยากาศของสำนักศึกษาได้ดี และผู้ที่ชอบพาลูกศิษย์ออกไปศึกษานอกสถานที่ก็มิใช่ใครอื่น
มารดาของเฉินซัวเหยียน หรือฮูหยินสกุลเฉินนั่นเอง
นางรักการแหกกฎหรือไม่ก็สร้างกฎแปลกๆ ขึ้นมา ทางสำนักศึกษาเองก็เอ่ยอันใดมิได้มาก ด้วยเกรงใจว่านางคือฮูหยินของเจ้ากรมพิธีการ มารดาของเฉินซัวเหยียนคือบัณฑิตหญิงรุ่นแรกของสำนักศึกษาชงหยวน และนางรักการเป็นอาจารย์อย่างมาก
ทว่าสุดท้ายก็ต้องลาออก เพราะข่าวฉาวเรื่องทุจริตการสอบคัดเลือกขุนนางที่บิดาเขาเป็นผู้ควบคุมดูแล
ปีนั้นอาจารย์ถูกให้ออกจากสำนักศึกษาถึงสามคน มารดาของเขาแม้ไม่เกี่ยวข้อง แต่กลับขอลาออก เพราะต้องการดูแลบิดาที่กำลังช้ำใจอย่างหนัก
แม้ผลสืบสวนจะเฉลยชัดแล้วว่าเฉินซานกั๋วไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เสนาบดีกรมธรรมการผู้นี้หยิ่งทระนงอย่างมาก ขึ้นศาลถูกไต่สวนเพียงครั้งเดียว กลับสาบานว่าจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องสกปรกอีก
เฉินซานกั๋วขอสละตำแหน่งเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
เฉินซานกั๋วกลับบ้านจิ้นฝูพร้อมกับเด็กน้อยน่าชังคนหนึ่ง
“เรื่องที่นางพูดมา ล้วนเป็นเหตุบังเอิญเท่านั้น”
เฉินซัวเหยียนปลอบใจตนเอง ก่อนจะตรงเข้าร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ห่างจากบ้านไม่มากนัก วันนี้เขามีนัดกับเจ้าของหอเด็ดบุปผา นางต้องการกำไลหยกที่เข้าชุดกันกับปิ่นที่ได้ไปเมื่อหลายวันก่อน
พ่อค้าโจวยิ้มให้กับกระจกในร้านขายเครื่องประดับ เตรียมตัวโปรยเสน่ห์และหาเงินเข้าบ้านสกุลโจว เฉกเช่นทุกๆ วันที่ผ่านมา
คุณหนูโจวหว่านฉินแม้ยังดื้อดึงอยู่มาก ทว่าก็ไม่เกินกว่ากำลังของอาจารย์เหมย เดิมทีนางก็คงเป็นเด็กหัวดี หากให้เดาก็เพราะได้เฉินซัวเหยียนคอยอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ให้ด้วยตนเอง แต่พอบุตรีเริ่มเป็นสาว จึงสนทนากันไม่รู้เรื่องอีก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของช่องว่างระหว่างบิดาและบุตรสาว
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เจ้าไปเตรียมตัวเสียให้พร้อม ข้าจะพาออกไปเดินเล่นข้างนอก”
“อาจารย์ แต่นี่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วยาม หากท่านพ่อทราบเรื่อง อาจารย์จะเดือดร้อน”
คุณหนูสกุลโจวนึกชมชอบอาจารย์หลังจากนั่งเรียนไปได้เพียงยี่สิบนาที นึกสงสัยปัญหาอันใด อาจารย์หญิงผู้นี้ก็อธิบายตอบด้วยประโยคที่เข้าใจได้ง่าย ต่างจากเหล่าอาจารย์ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
เพราะคำอธิบายที่เคยได้รับ มักทำให้นางงงหนักยิ่งกว่าเดิม
“จะโทษข้าได้อย่างไร ที่ควรสอนไปในวันนี้ก็สอนแล้ว หากคุณชายโจวอยากจะถือโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่มีบุตรสาวฉลาดและหัวไวมากเสียละกระมัง”
“แต่ปกติแล้วอาจารย์ที่เคยสอนข้า มักจะบังคับให้นั่งอยู่ด้วยจนกว่าหมดเวลา”
“ไร้สาระ นั่งอยู่เฉยๆ จะไปได้อะไร” หลิวซืออิงยิ้มให้กับลูกศิษย์ที่ใกล้จะเป็นสาว
โจวหว่านฉินขอตัวไปหยิบเงินและออกมารออาจารย์ด้วยท่าทางสุภาพ ราวกับมิใช่คนเดียวกับโจวหว่านฉินที่แผลงฤทธิ์ไปเมื่อเช้าที่ผ่านมา
“หมดเวลาเรียนตำรา ถึงเวลาฝึกมารยาท วันนี้ให้ถือเสียว่าเป็นการเที่ยวไป ฝึกไปก็แล้วกัน”
“อาจารย์ชักจะเอาใจข้ามากเกินไปแล้ว”
“อาจจะเป็นข้าที่เอาแต่ใจตัวเองก็ไปได้”
หลิวซืออิงเฉลยว่าตนมิได้นำเสื้อคลุมสำหรับฤดูหนาวมาด้วย จึงจำต้องซื้อหาเอาไว้สักหลายตัว และยังอยากได้เตาอุ่นมืออีกสักอัน นางยังจำได้ดีว่าจุดอ่อนของตนคือฤดูหนาว หากไม่ทำตัวเองให้อบอุ่นมากพอ ก็จะเกิดไม่สบายขึ้นมาได้
อาการไม่สบายที่ว่าคืออาการทางใจที่เกิดจากโศกนาฏกรรมในวัยเด็ก
ใช้เวลาไม่นาน อาจารย์และศิษย์ก็พากันมาถึงร้านค้าสกุลเหอ ซึ่งนับว่าเป็นร้านเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเซียงไห่ คุณหนูโจวหว่านฉินยืนยันหนักแน่นว่าคุณภาพสมกับราคา และมักจะมีแบบใหม่ๆ มาให้เลือกสรรอยู่เสมอ
