บทที่ 8
เสียงโวยวายดังออกมาจากห้องนอนห้องหนึ่งของบ้านสกุลโจว บ่าวไพร่ถูกสั่งไม่ให้รบกวนระหว่างที่อาจารย์โฉมงามจากสำนักศึกษาชงหยวนกำลังอบรมสั่งสอนคุณหนูโจวหว่านฉิน แม้จะมีเสียงโต้เถียงว่ากล่าวก็ห้ามก้าวก่าย และปล่อยให้ผู้เป็นอาจารย์จัดการทุกอย่างด้วยตนเอง
“ให้ข้าตื่นเช้าเช่นนี้ อาจารย์ ท่านบ้าไปแล้ว!”
โจวหว่านฉินเดิมทีถ้าดวงตะวันไม่ตรงศีรษะ นางก็จะไม่ยอมลุกออกจากเตียง และเมื่อถูกบังคับมากเข้า จึงแสดงความไม่พอใจฉบับคุณหนูสกุลโจวออกมา
“ถ้าเจ้าไม่ตื่น ข้าจะสาดน้ำ”
เมื่อวานหลิวซืออิงยอมนางมาแล้วครั้งหนึ่งแล้ว และจะไม่ยอมอีกเป็นครั้งที่สอง
“แน่จริงก็สาด!”
โจวหว่านฉินนึกเสียใจที่กล่าวออกไปเช่นนั้น เพราะอาจารย์โฉมงามของนางมิได้ลังเลที่จะกระทำตามคำขอ และสาดน้ำใส่นางเสียจนเปียกชุ่ม
“สาดเรียบร้อยตามที่เจ้าขอ เดี๋ยวอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปเจอกันที่สวนภายในหนึ่งก้านธูป ถ้าหากเจ้ามาช้า เราก็จะเลิกเรียนช้า หากมาเร็ว เราก็จะได้เลิกเรียนเร็ว”
หลิวซืออิงวางถังน้ำ ก่อนจะออกไปนั่งรอที่สวน ใช้เวลาไม่นาน ลูกศิษย์คนแรกของนางก็ปรากฏตัว
โจวหว่านฉินหน้าบูดบึ้งยิ่งนัก!
“สัปดาห์แรกตั้งใจว่าจะปูพื้นฐานทั่วไปเสียก่อน และวันนี้เรียนไปแล้วหนึ่งเรื่อง เรียนอีกสักเรื่องก็น่าจะพอ”
“เรียนอะไร ข้าไม่เห็นได้เรียน”
“หว่านฉิน” หลิวซืออิงยิ้มน้อยๆ
“เรียกอะไร!”
“แทนตัวเองว่าหว่านฉิน” อาจารย์ยังเยาว์ยิ้มหวาน
“ก็ได้! วันนี้หว่านฉินไม่เห็นได้เรียนอะไร”
“เรียนแล้ว หว่านฉินเรียนรู้การตื่นเช้า นับว่าตื่นง่ายกว่าที่คิดมาก สมัยอาจารย์ยังเด็กต้องทำเช่นนั้นถึงสามครั้ง กว่าจะยอมลุกออกจากเตียงได้”
หลิวซืออิงในวัยเด็กร้องหาบิดามารดาที่ตายจาก พอทราบว่าคนที่นางรักหนีไปอยู่บนสรวงสวรรค์และทิ้งกันไว้เพียงลำพัง จึงโศกเศร้าไม่ยอมลุกออกจากเตียง ฮูหยินเฉินพูดดีด้วยก็มิได้ผล จึงต้องพรมน้ำสี่ห้าหยดใส่หน้านางเบาๆ เป็นการเรียกสติ
นางทำเช่นนั้นอยู่สองสามครั้ง เด็กน้อยซืออิงก็ร้องไห้เสียงดังและกอดนางแน่น คล้ายกับจะยอมรับได้แล้วว่าการสูญเสียนั้นคือความจริง หาใช่ความฝันไม่
ฮูหยินเลือกที่จะพรมน้ำ ทว่านางเลือกที่จะสาด
“อาจารย์ตื่นยากขนาดนั้นเลยหรือ”
“ความจริงตื่นนานแล้ว ทว่าไม่ยอมลุก” หลิวซืออิงยิ้มอายๆ
“เช่นนั้นท่านก็ขี้เกียจไม่ต่างจากข้า”
“ข้าไม่อยากตื่น เพราะยามนั้นคิดว่าไม่เหลือใคร”
“ท่านว่าอย่างไรนะ” โจวหว่านฉินดวงตาลุกวาว
“ยามนั้นข้าคิดว่าตนเองไม่เหลือใคร จึงไม่เห็นประโยชน์ของการตื่นนอนเพื่อที่จะทำเรื่องต่างๆ แต่พอตระหนักได้ว่ามีคนรักอยู่รอบตัว จึงอยากจะทำอะไรอีกสักหลายอย่าง และไม่อยากเสียเวลาไปกับการนอนอีก”
“ไม่อยากเสียเวลาเช่นนั้นหรือ”
โจวหว่านฉินคิดตามคำพูดของอาจารย์
“ลองบอกอาจารย์มาที เวลาว่างเจ้าชอบทำอะไรมากที่สุด”
“ข้าชอบออกไปเดินตลาด ซื้อขนมแป้งทอดและน้ำเต้าหู้ ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ หรือไม่ก็แอบไปดูละคร แต่เรื่องนี้อาจารย์ห้ามบอกท่านพ่อ เพราะท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าดูละครรักพวกนั้น ท่านบอกว่าข้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ”
“หากเจ้าตื่นแต่เช้า ก็จะได้ขนมแป้งทอดและน้ำเต้าหู้ที่อร่อยที่สุด และทุกๆ สิบห้าวัน ข้าได้ยินว่าเถ้าแก่ร้านผ้าไหมกลางเมือง จะนำเสื้อผ้าสวยๆ มาลงในช่วงบ่าย หากเจ้าตั้งใจเรียน ข้าก็จะพาเจ้าไปชมดูของสวยงามพวกนั้น”
“ท่านอาจารย์พูดจริงหรือ”
“หากเจ้าไม่เชื่อ พรุ่งนี้ลองตื่นแต่เช้า ข้าจะพาเจ้าไปซื้อขนมแป้งทอดที่อร่อยที่สุด หลังจากกินอิ่มดีแล้ว ค่อยเริ่มเรียนดีหรือไม่”
“ถ้าหากข้าตั้งใจเรียน ท่านจะอนุญาตให้ข้าไปดูละครที่โรงน้ำชาหรือไม่”
“เรื่องละครพวกนั้น ข้าเองก็เพิ่งจะเคยดูตอนอายุสิบแปดปี คงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก เอาไว้โตแล้วค่อยไปดูก็คงไม่สายกระมัง”
หลิวซืออิงปลอบใจคุณหนูที่ใกล้จะเป็นสาว
“น่าเบื่อที่สุด”
“หากวันนี้เจ้าตั้งใจเรียน ข้าจะพาเจ้าทำอะไรสนุกๆ”
“ก็ได้”
ภาพของคุณหนูสกุลโจวยอมอ่อนข้อให้กับอาจารย์หญิง นับว่าเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่ง บ่าวไพร่ต่างพากันซับน้ำตา ด้วยหลังจากนี้คุณหนูของบ้านคงจะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นกุลสตรี ไม่สร้างความลำบากใจให้ใครอีก
แน่นอนว่าภาพเหล่านี้ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเฉินซัวเหยียน ทีแรกเขานึกสบประมาทนางในใจว่าคงจะอยู่รอดได้ไม่เกินสามวัน แต่นี่แค่วันที่สอง โจวหว่านฉินก็นั่งสงบอยู่ในสวนเสียแล้ว
“เหตุใดจึงออกมานั่งเรียนนอกเรือน ไยไม่นั่งเรียนให้ห้องหนังสือที่จัดเตรียมเอาไว้ให้” คุณชายสกุลโจวแวะหยอดคำถามก่อนจะออกไปทำงาน
