บทที่ 10
พ่อค้าหนุ่มหล่อทำหน้าที่เสนอสินค้ามาใหม่อย่างเคอะเขิน นานๆ ทีจะเจอลูกค้าที่มีรูปโฉมงดงามและกิริยาดีราวกับเทพธิดามาปรากฏตัวอยู่ในร้าน
ทว่าหลิวซืออิงกลับปฏิเสธ พร้อมกับขอเลือกเสื้อผ้ารุ่นเก่าๆ เพราะต้องการประหยัดเงิน
“ข้าเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวไปอวดใครดอกท่านพ่อค้า” ซืออิงยิ้มน้อยๆ ทำเอาพ่อค้าและผู้ที่สัญจรไปมาแถบนั้นหายใจลำบากไปตามๆ กัน
ทว่าสตรีก็ยังคงเป็นสตรี หลิวซืออิงอดลูบคลำเสื้อคลุมราคาแพงมิได้ ในขณะที่สัมผัสเนื้อผ้านุ่มมือ นางก็บอกกับตัวเองว่านี่มิใช่ของจำเป็น นางมิใช่สตรีที่จะทุ่มค่าจ้างทั้งเดือนเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของเสื้อผ้าราคาแพง ถึงแม้ว่ามันจะสวยถูกใจอย่างมากก็ตาม
“หากแม่นางชอบตัวนั้น ข้าให้”
“ของราคาแพงเช่นนี้ ข้ามิกล้ารับเอาไว้ดอก รบกวนท่านพ่อค้าห่อเสื้อคลุมสามตัวนั้นให้ข้าด้วยเถิด”
“ห่อใหญ่เช่นนี้ รบกวนพ่อค้าเหอส่งที่บ้านข้าหลังจากปิดร้านได้หรือไม่” โจวหว่านฉินเอ่ยเสียงใส นางซื้อของที่นี่ค่อนข้างบ่อย และหลายครั้งเด็กในร้านก็จะจัดการส่งให้ถึงบ้านในภายหลัง
“คุณหนูเหมยพักที่บ้านสกุลโจวเช่นนั้นหรือ” พ่อค้าสกุลเหอเอ่ยเรียกซืออิงด้วยสกุลปลอมที่นางอ้างเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองเซียงไห่
“นางเป็นอาจารย์ของข้า มาจากสำนักศึกษาชงหยวน และจะอยู่ที่นี่เพียงสามเดือนเท่านั้น พ่อค้าเหอมีเรื่องอันใดสงสัยอีกหรือไม่” โจวหว่านฉินรีบแก้ ด้วยไม่อยากให้ชื่อเสียของบิดาทำให้อาจารย์ของนางต้องมีมลทิน
“ไม่มีแล้ว เอาไว้หลังปิดร้าน ข้าจะไปส่งของด้วยตัวเอง”
“ลำบากพ่อค้าเหอแล้ว”
หลิวซืออิงไม่ได้รู้เลยว่าตนได้เสื้อผ้ามาในราคาทุน นางจึงชื่นชมเสียยกใหญ่ว่าของที่นี่คุณภาพเกินราคาอย่างมาก และเมื่อพ่อค้าเหอได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนแทบจะยืนไม่อยู่
พอนางออกจากร้านไปจึงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดท่า ปล่อยให้ลูกจ้างบีบนวดผ่อนคลายไปเรื่อย
สตรีที่งามพร้อมเช่นนี้ไม่เคยปรากฏในเมืองเซียงไห่มาก่อน เพราะสตรีส่วนมากล้วนเป็นลูกพ่อค้าแม่ค้า หรือไม่ก็นางคณิกาแห่งหอโคมเขียว
หลิวซืออิงไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตนนั้นถูกเหล่าพ่อค้าในเมืองเซียงไห่กล่าวชื่นชมลับหลัง ทว่าหลายคนกลับนึกเสียดายที่นางพักอยู่บ้านสกุลโจว เพราะนั่นทำให้การเกี้ยวพาราสีแทบจะเป็นไปไม่ได้
“ท่านอาจารย์หนาวหรือเจ้าคะ” โจวหว่านฉินถามออกมาอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นว่าอาจารย์ลูบแขนของตัวเองเบาๆ
“อาจารย์ไม่ถูกกับอากาศหนาวจัดนัก หว่านฉินไปซื้อของตามสะดวกเถิด เดี๋ยวอาจารย์จะไปรอที่โรงน้ำชา”
“หากต้องการน้ำชาร้อนๆ อาจารย์ไปที่ร้านของท่านพ่อก็ได้ อีกไม่นานก็คงจะปิดรับลูกค้าแล้ว” โจวหว่านฉินจูงมืออาจารย์ตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับและของหายากโดยไม่สนใจคำคัดค้าน
“หว่านฉินต้องซื้อของอีกสักสองสามชิ้น แล้วจะรีบกลับมารับอาจารย์ แต่หากท่านพ่อปิดร้านเสียก่อน ท่านกลับไปพร้อมท่านพ่อเลยก็ได้” โจวหว่านฉินพาอาจารย์โฉมงามเดินผ่านลูกค้าเข้าไปยังหลังร้าน พร้อมกับจัดการรินน้ำชาร้อนๆ ให้เสร็จสรรพ
เหตุการณ์ทั้งหมดหาได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อค้าโจวไม่ เขายิ้มกว้างให้กับลูกค้าสตรี ก่อนจะเอ่ยชมพวกนางอีกสักหลายคำ
“ชวนพ่อค้าโจวไปที่หอเด็ดบุปผาเสียตั้งหลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะรับคำเชิญของพวกข้าบ้าง” เสียงออดอ้อนดังมากระทบหูของหลิวซืออิง ทำเอาถ้วยชาแทบจะร่วงหลุดออกจากมือ
“ข้าไปแล้วก็คงจะต้องลำบากใจ ด้วยพวกท่านล้วนมีความงามเสมอกัน ให้เลือกคนใดคนหนึ่ง ข้าเลือกไม่ได้ดอก”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องเลือก พวกเราทั้งสามยินดีดูแลพ่อค้าโจว ไม่คิดเงินเลยสักแดงเดียว” เพ่ยเพ่ยเสนอตัวแทนสาวงามที่เหลือ
“เกรงว่าทำเช่นนั้นแล้ว แม่นางหลี่อาจจะบั่นคอข้าได้”
“นางว่าจะไปที่ต่างเมืองสักสองสามคืน ท่านแวะเข้ามาช่วงนั้นสิเจ้าคะ” นางคณิกาสามคนหัวเราะเสียงใส ถือโอกาสที่เจ้าของหอเด็ดบุปผาไม่อยู่ ยั่วยวนพ่อค้าโจวที่แอบหมายตามานาน
“ข้ายังต้องกลับไปดูแลหว่านฉิน หากปลีกตัวได้วันใด ข้าจะเรียกหาท่านทั้งสามเป็นอันดับแรก เช่นนี้ดีหรือไม่”
สตรีที่เติบโตมาในกรอบมีหรือจะทนฟังได้ นางตั้งใจว่าจะเดินออกจากร้าน เลือกเผชิญหน้ากับลมหนาวแทนที่จะต้องทนฟังเรื่องพวกนี้ให้ระคายหู ทว่ายังมิทันจะพ้นประตู ก็พลันเห็นภาพบาดเข้าตาเสียก่อน
ทั้งซ้ายและขวาของคุณชายล้วนมีสาวงามยืนเคียงข้างกอดแขน และแม่นางที่น่าจะมีชื่อว่าเพ่ยเพ่ยนั้นยืนอยู่ตรงหน้า นางบรรจงจูบที่แก้มของเฉินซัวเหยียนโดยมินึกละอายเลยแม้แต่น้อย
