บทที่ 6
จากแซ่หลิว กลับกลายเป็นแซ่เหมย
เพราะดอกเหมย คือดอกไม้ที่นางชื่นชอบ
“จดหมายฉบับก่อนแจ้งว่าไม่มีบัณฑิตสตรียอมรับงาน ไยวันนี้จึงมาได้แล้วเล่า” เขารินน้ำชาใส่ถ้วย ก่อนจะส่งให้แขกทั้งสอง
“สกุลที่ว่าจ้างข้า เปลี่ยนใจไม่ต้องการสตรี จึงสับเปลี่ยนให้ข้ามารับงานที่นี่แทน”
“ซืออิง” หยางตงฉวนมิทันได้แก้อะไร ก็ถูกรอยยิ้มของสหายสกัดคำพูดเอาไว้เสียก่อน
“หากศิษย์คนนั้นของเจ้าเป็นชาย ข้าก็ว่าไม่น่าแปลกใจนักที่สกุลนั้นต้องการเปลี่ยนตัว ด้วยข้าเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วแท้ๆ ยังอดชื่นชมในความงามของท่านอาจารย์เหมยไม่ได้” เฉินซัวเหยียนหยอดคำหวาน ไม่สนเรื่องมารยาทหรือความเหมาะสม
“คุณชายโจวชมมากไปแล้ว” หลิวซืออิงเก็บอารมณ์ได้ดียิ่ง แม้แต่สีแดงเฉดหนึ่งก็ไม่ปรากฏบนใบหน้า นางจงใจไม่เรียกบุรุษตรงหน้าว่าพ่อค้าโจวดั่งเช่นลูกค้าที่แวะเวียนมาชมข้าวของ แต่เรียกขานว่าคุณชาย เสมือนว่าเขาคือคุณชายสกุลเฉินดังแต่ก่อน
“ข้าเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา อาจารย์มิควรต้องมากพิธี”
“ข้าอายุยังน้อย เรียกท่านว่าคุณชายนับว่าสมควรแล้ว”
“พ่อค้าต่ำต้อยหรือจะสู้บัณฑิตสกุลหยางได้”
“นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่จะต้องแจ้งให้คุณชายทราบ ข้าเป็นเพียงบัณฑิตในสำนักศึกษาชงหยวน หาใช่คนของสกุลหยางโดยกำเนิด และหากคุณชายมิสะดวกใจจะรับข้าเอาไว้พิจารณา เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้”
กิริยาของหลิวซืออิงนับว่าน่าชมอย่างมาก ต้องยกความดีความชอบให้กับประมุขสกุลเฉินและฮูหยินที่คอยกวดขันให้นางเพียบพร้อม ทั้งด้านการศึกษาและมารยาท
“ตัวข้าพอใจกับอาจารย์หญิงสวยๆ มากกว่าอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ต้องรอสอบถามผู้เรียนดูก่อนว่าจะพอใจในตัวท่านหรือไม่”
“ท่านพอจะบอกลักษณะของผู้เรียนได้หรือไม่”
“ลูกสาวของข้าอายุเกือบสิบสามปีแล้ว นิสัยดื้อดึงไม่เชื่อฟัง กิริยาห่างไกลจากคำว่ากุลสตรีอย่างมาก อาจารย์ในเมืองเซียงไห่ล้วนแต่เอือมระอา ข้าจึงจำต้องว่าจ้างอาจารย์จากต่างเมืองให้มาลองรับมือกับนางดู”
หลิวซืออิงได้ความอีกว่าคุณหนูสกุลโจวนั้นกำพร้ามารดา อยู่กับบ่าวไพร่มากกว่าบิดา ส่วนท่านตาก็เดินทางไปเสาะหาสินค้าที่ต่างเมืองเสมอ
เด็กกำพร้ารู้สึกเช่นไร มีหรือนางจะไม่รู้...
หลิวซืออิงและหยางตงฉวนขอตัวลากลับโรงเตี๊ยม หลังจากนัดหมายกันว่าในวันพรุ่งนี้จะไปพบคุณชายเฉินซัวเหยียนและบุตรสาวที่บ้านในช่วงเช้า เพื่อตัดสินว่านางควรจะได้รับการว่าจ้างหรือไม่
“ซืออิง เจ้าทำเช่นนั้นหาสมควรไม่” หลังถูกบังคับให้เงียบมานาน หยางตงฉวนก็ได้เวลาเอ่ยปาก
ทว่าหลิวซืออิงกลับไม่ใส่ใจ นางเดินชมร้านรวงข้างทางไปเรื่อย จนกระทั่งถึงโรงน้ำชา และพอเห็นว่าข้างในกำลังแสดงละคร จึงรีบชวนสหายเข้าไปนั่งดูด้วยกัน
“ตงฉวน ข้าทำเช่นนั้นเพราะมีความจำเป็น อีกอย่าง เจ้าก็ไม่เคยได้พักผ่อนในช่วงปิดภาคเรียนเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ ทำไมไม่ถือโอกาสนี้พักผ่อนเที่ยวเล่นสักสามเดือนเล่า”
หลิวซืออิงพูดขณะแกะเมล็ดแตง ดวงตากลมโตของนางมองละครโดยไม่กะพริบ
“หากท่านพี่ทราบเรื่อง ข้าจะต้องถูกลงหวายจนตายแน่ๆ”
“เจ้าก็อยู่เสียที่นี่ หากเงินไม่พอใช้ เอาตั๋วเงินของข้าไปก็ได้”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาดอก ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า คุณชายเฉินเจ้าชู้ประตูดิน ตอนนี้ได้รับฉายาเสือร้ายสองเมือง เจ้าไม่เคยเจอบุรุษปากหวาน ข้ากลัวว่าเขาจะทำให้เจ้าลำบากใจในภายหลัง”
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าคุณชายกล่าวเช่นนั้นกับสตรีทุกคน ตัวข้าเองอาจจะไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่ก็คงมิโง่ปล่อยให้ตัวเองหลงใหลได้ปลื้มกับคำลวงกระมัง”
“เช่นนั้นก็ควรจะต้องระวังตัวให้มาก หากพรุ่งนี้คุณหนูจอมยุ่งรับเจ้าเป็นอาจารย์ ก็ค่อยคิดอ่านหาทางออกกันอีกที”
สองสหายชมละครกันอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่รู้เลยว่าเด็กน้อยที่กำลังเป็นสาว กำลังพยายามอย่างมากที่จะจับบทสนทนาแขกของบิดา
นางไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องหรือไม่ ว่าคุณชายผู้นั้นเรียกนางว่าคุณหนูจอมยุ่ง แต่ข้อแรกที่นางมั่นใจ คือคุณชายผู้นั้นเป็นห่วงสตรีรูปงาม และมีท่าทางไม่อยากให้นางรับงานที่บ้านสกุลโจว
อีกข้อคือสองคนนั้นต้องมิใช่สหายธรรมดา!
