บทที่ 4
หลิวซืออิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะจ่ายเงินค่าอาหารให้กับเถ้าแก่เนี้ยที่บัดนี้ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเสียลูกค้าไปพร้อมกันถึงสองคน
ยิ่งเห็นว่าหลิวซืออิงเดินไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ยิ่งเจ็บใจจนแทบกระอัก
“เจ้ามาที่นี่ตามลำพัง ท่านอาเฉินทราบเรื่องด้วยอยู่หรือ”
หยางตงฉวนหมายถึงประมุขของบ้านสกุลเฉิน
“ท่านอาไม่อยู่ เข้าเมืองหลวงไปได้สักหลายวันแล้ว ข้ามาที่เซียงฉวนก็เพราะท่านอาหญิง”
“มิน่าเล่า”
เฉินซานกั๋ว ประมุขของสกุลเฉิน เดิมทีรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ หรือเจ้ากรมพิธีการ ทว่าหลายปีก่อนกลับลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องทุจริตการจัดสอบคัดเลือกขุนนาง ถึงแม้เขาจะมิใช่ผู้ผิด และสั่งให้มีการยกเลิกการสอบในปีนั้นแล้ว ทว่าก็มิอาจยอมรับตำแหน่งดังกล่าวได้อีก
เจ้ากรมพิธีการเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อแจ้งเจตนาต่อผู้มีอำนาจ ขอลาออกจากตำแหน่ง และนำเด็กน้อยชะตาอาภัพกลับบ้านสกุลเฉินมาด้วย และเด็กน้อยที่ว่านั่นก็คือ หลิวซืออิง ทายาทคนสุดท้ายของสกุลหลิว
มิแน่ใจว่าผิดหวังในตัวลูกชายหรืออยากได้ลูกสาวมาโดยตลอด เฉินซานกั๋วเลี้ยงดูนางด้วยตนเองตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หลิวซืออิงก็มิได้ทำให้ใครผิดหวัง ตั้งใจเรียนจนสอบเข้าสำนักศึกษาชงหยวนได้ในที่สุด
เฉินซานกั๋วทั้งรักทั้งห่วงนางอย่างมาก เรื่องที่จะอนุญาตให้หลิวซืออิงออกมาเดินเล่นทำภารกิจต่างเมือง จึงคล้ายจะเป็นไปไม่ได้ และพอได้ทราบว่าผู้อาวุโสเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดนางจึงมีโอกาสได้มานั่งเล่นในโรงเตี๊ยมของเมืองเซียงฉวนเอาในยามนี้
“ข้าจะต้องตามหาตัวของคุณชายเฉินซัวเหยียน และพาเขากลับบ้านจิ้นฝู” หลิวซืออิงกระซิบกับเพื่อนสนิท
“คุณชายจอมเจ้าชู้ แกะดำสกุลเฉินน่ะหรือ!”
หยางตงฉวนซ่อนความตกใจเอาไว้มิได้
“เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างข้ากับฮูหยินเฉิน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงดังเอ็ดตะโรไป” นางเอ็ดสหายที่มีอายุมากกว่าเกือบสองปี หยางตงฉวนยามตกใจมักควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบาก และเอ่ยถ้อยความก่อนคิดให้ถี่ถ้วนอยู่เสมอ
“จะไม่ให้ข้าตกใจได้อย่างไร เจ้าก็ไม่ใช่สตรีขี้ริ้วขี้เหร่ บอกตรงๆ เลยว่าข้าไม่พอใจที่ฮูหยินเฉินขอให้เจ้าทำเรื่องพวกนี้”
“แล้วเจ้าจะให้ข้ากลายเป็นคนอกตัญญูเช่นนั้นหรือตงฉวน”
หลิวซืออิงชำระเงินค่าโรงเตี๊ยม แน่นอนว่าหยางตงฉวนแย่งจ่ายทั้งสองห้อง โดยอ้างเหตุผลสองข้อ
ข้อแรกคือเป็นของขวัญวันเกิดของสหาย
ข้อสองคือหยางตงฉินร่ำรวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน
“ตามใจเจ้า แต่คืนนี้ข้าจะเลี้ยงอาหารเอง”
หยางตงฉวนก็นับว่าเป็นหนึ่งในบุรุษรูปงามของเมืองเซียงฉวน วางมาดสมกับเป็นคุณชายที่น่านับถือของสกุลดัง และไม่เคยทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเลยแม้เพียงครึ่งก้าว
สำนักศึกษาชงหยวนจัดให้มีการปิดภาคเรียนในช่วงฤดูหนาวของทุกปี แต่แทนที่เขาจะได้สนุกสนานเช่นผู้อื่น กลับต้องรับหน้าที่อาจารย์และฝึกฝนตนเองตั้งแต่อายุได้สิบห้าปี เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งผู้ดูแลสำนักศึกษาคนต่อไป
ในทุกๆ ปี หยางตงฉวนจะออกเดินทางไปยังต่างเมือง รับหน้าที่อาจารย์ให้กับศิษย์ที่ไม่มีใครอยากรับเอาไว้เป็นศิษย์ เพราะนอกจากจะช่วยฝึกฝนตนเองแล้ว ยังช่วยทำให้ลูกศิษย์ของเขาประพฤติตัวดีขึ้นมาได้บ้าง
“แล้วเจ้าจะไปตามหาเขาที่ใด”
“ได้ยินว่าคุณชายเปลี่ยนแซ่ เป็นโจวซัวเหยียน ข้าคงต้องลองสอบถามดูเอาจากคนแถวนี้”
“น่าแปลก ผู้ที่นัดหมายข้าไว้ก็มีชื่อว่าโจวซัวเหยียนเช่นกัน”
“หากมิใช่พ่อค้าเครื่องประดับ ก็คงมิใช่คนเดียวกันดอก”
หลิวซืออิงกล่าวก่อนจะก้าวเข้าห้องพัก หมายเก็บของและพักผ่อนสักครึ่งชั่วยาม แล้วค่อยออกไปเที่ยวชมเมืองอีกครั้ง
“ซืออิง ข้าเกรงว่าจะใช่ เพราะโจวซัวเหยียนผู้นี้นัดข้าไปพบที่ร้านขายเครื่องประดับในช่วงเย็น”
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า”
นางยิ้มกว้างในแบบที่หยางตงฉวนไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ด้วยพอยิ้มเช่นนี้ทีไร ก็มักจะเกิดเรื่องน่าปวดหัวขึ้นทุกที
