บทที่ 3
เสียงตะโกนเรียกผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนเส้นยาวของเมืองเซียงไห่ทำเอาสาวน้อยจากต่างเมืองถึงกับต้องสะดุ้งเป็นระยะ หลังจากเดินทางเพียงสองชั่วยาม หลิวซืออิงก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ท้องของนางร้องประท้วง ต้องการอาหารอย่างเร่งด่วน เพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
“เสี่ยวเอ้อ” หลิวซืออิงสั่งอาหารเพียงสองอย่างและน้ำชา ต่อให้ฮูหยินเฉินจะมอบตั๋วเงินมากมูลค่าให้ แต่นางก็ควรจะระมัดระวังในยามใช้จ่าย และเตือนตัวเองไม่ให้ผลาญเงินของผู้มีพระคุณเกินกว่าความจำเป็น
การแสดงความสนอกสนใจต่อสิ่งรอบตัวมากเกินไป จะทำให้ผู้คนรอบข้างทราบว่านางมาจากต่างเมือง และนั่นอาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งหรือเอารัดเอาเปรียบในภายหลัง หลิวซืออิงจึงทำเพียงนั่งนิ่งๆ รออาหาร แสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งเร้ารอบตัว
จนกระทั่งบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม เขาหย่อนตัวลงนั่งด้วยท่าทีสบายๆ และยังมิทันได้เอ่ยปาก กับข้าวหน้าตาน่ากินสามสี่อย่างก็ปรากฏอยู่บนโต๊ะกลมตัวนั้นแล้ว
นางมาก่อนแท้ๆ...
และนางก็กำลังหิวอย่างมาก
สำนักศึกษาชงหยวน พร่ำสอนลูกศิษย์ทุกคนว่าความอดทนเป็นสิ่งที่ดี คนฉลาดมักนั่งนิ่งไม่เผยคม หลิวซืออิงก็อยากจะกระทำให้ได้ดั่งคำสอน จึงฝืนทนจิบน้ำชารอไปเรื่อยๆ แต่ดูท่าบุรุษที่นั่งห่างไปไม่ไกลจะเห็นว่านางกำลังหิว จึงตรงเข้ามาหานางด้วยทีท่ามั่นใจและเปี่ยมเสน่ห์
บุรุษร่างสูงผู้นี้เปี่ยมเสน่ห์อย่างมาก
“ท่าทางแม่นางจะหิวมาก ไปนั่งร่วมโต๊ะกับข้าก่อนดีหรือไม่”
“ข้ารอได้ ไม่มีปัญหาอะไร” หลิวซืออิงปฏิเสธทันควัน ด้วยความงามของเขาคล้ายจะทำให้นางหายใจลำบาก
“แต่ข้าไม่อยากให้ท่านรอ” คนกล่าวยิ้มอวดฟันขาว หมายเอาชนะใจหญิงงามจากต่างเมืองตั้งแต่นาทีแรกที่ได้สบตา
“ข้าชอบนั่งตามลำพัง เชิญคุณชายตามสบายเถิด” นางตัดบท ไม่อยากสนทนากับคนแปลกหน้าอีก
เอ่ยเพียงเท่านั้นเขาก็ยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ อากาศโดยรอบจึงเริ่มถ่ายเทเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง อาหารที่นางสั่งไว้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า ปริมาณของมันน้อยและไม่สมราคาอย่างมาก เมื่อมองไปยังหญิงสาวที่ทำหน้าที่ดูแลร้าน นางจึงพอจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชะรอยเถ้าแก่เนี้ยยังสาวจะไม่พอใจที่ชายผู้นั้นชวนนางไปร่วมโต๊ะด้วยกระมัง
โชคดีที่หลิวซืออิงตัวเล็กผอมบาง อาหารสองจานที่ว่าก็คงจะทำให้นางอิ่มได้อยู่ดอก แต่พอตั้งท่าจะคีบอาหาร เสียงร้องตะโกนก็ดังขึ้น และนั่นทำให้นางวางตะเกียบลงอย่างไม่เต็มใจนัก
“ซืออิง!”
หยางตงฉวน ทายาทหนุ่มรูปงามของสำนักศึกษาชงหยวน สหายเพียงคนเดียวของหลิวซืออิงปรากฏตัวในเมืองท่าเซียงไห่เพราะเหตุใดก็ยากจะเดา
เขาวางห่อผ้าลงบนโต๊ะก่อนจะคว้าตะเกียบ ตั้งใจจะคีบอาหารใส่ปากสักสองคำ แต่พอเห็นสายตาของสหายที่รู้จักกันมานานมากกว่าสิบปี ก็จำต้องยอมวางตะเกียบลงอย่างเสียมิได้
ทายาทสกุลหยางสารภาพว่าแวะไปหานางที่บ้านจิ้นฝูก่อนจะออกเดินทาง เลยทราบว่าสหายออกจากเมืองเซียงฉวนเสียตั้งแต่เช้าแล้ว และพอทราบว่าปลายทางของหลิวซืออิงคือที่ใดก็รีบเร่งออกเดินทาง พอมาถึงเมืองเซียงไห่ก็เดินตามหานางเสียหลายโรงเตี๊ยมกว่าจะเจอ
“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” หลิวซืออิงเอ่ยปากถามหลังจากกินอาหารไปได้สักหลายคำ
“ท่านพี่ส่งข้าให้มาเป็นอาจารย์ของเด็กน้อยสกุลหนึ่ง แล้วเจ้าล่ะ เมื่อวานข้ารอเสียตั้งนาน ไยไม่โผล่หน้ามาฉลองวันเกิดกันสักหน่อย” สิบสามปีที่ผ่านมา หยางตงฉวนที่อยู่บ้านใกล้กันมักจะปีนมาหานางทุกๆ วันเกิด และพูดคุยไร้สาระกันไปตามเรื่อง เขางอแงเล็กน้อยเมื่อสหายมิยอมเอ่ยคำลาก่อนจาก
“ข้ามาทำธุระ เจ้าจะกินก็กินเถิด” หลิวซืออิงเห็นท่าทางหิวโหยของสหายแล้วก็นึกใจอ่อน ยอมแบ่งอาหารให้ ทว่ารอเพียงชั่วอึดใจ อาหารที่หยางตงฉวนสั่งก็มาถึงโต๊ะ ต่างจากนางที่ต้องรอเสียตั้งนาน
นางเลือกที่จะกินทุกอย่างอย่างใจเย็น ส่วนลึกมั่นใจแล้วว่าจะไม่พักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ หลิวซืออิงจะไม่อุดหนุนกิจการ หรือใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อลูกค้าไม่เสมอกัน
“เจ้าพักโรงเตี๊ยมนี่หรือ” หยางตงฉวนถามเช่นนั้นเพราะจะได้จองห้องพักด้วยเสียเลย
“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะพักที่นี่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
