บทที่ 2
หลิวซืออิงไม่เคยพบปะผู้ใดนอกเหนือจากคนในบ้านและสำนักศึกษา นางจึงไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดติดตัว การเรียนที่ผ่านมาหรือก็ต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะได้อยู่ในอันดับต้นๆ หากจะมีดีกับเขาอยู่บ้าง ก็คงเป็นเรื่องฝีมือการทำอาหารที่ฮูหยินเฉินถ่ายทอดให้กระมัง แต่นั่นจะช่วยอะไรนางได้อยู่หรือ
สิบสามปีก่อนซืออิงน้อยต้องกำพร้าบิดามารดา ครอบครัวถูกบุกสังหาร ก่อนจะวางเพลิงทำลายหลักฐาน บิดาของนางคือขุนนางตงฉิน ทำงานซื่อสัตย์รับใช้ผู้มีอำนาจในวังหลวง
ทว่าความพากเพียรและความซื่อสัตย์กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อหลายคนถูกขัดผลประโยชน์มากเข้า ก็เกิดการรวมตัวกันกำจัดล้างโคตรสกุลหลิวเสีย
มิแน่ใจว่าคนร้ายสงสารหรือว่ากำจัดนางไม่ทัน หลิวซืออิงจึงกลายเป็นผู้เดียวที่เหลือรอดจากกองเพลิงในคืนนั้น
ประมุขสกุลเฉินสนิทสนมกับครอบครัวของนางอยู่มาก จึงขอตัวเด็กน้อยวัยยังไม่ถึงห้าขวบดีจากเหล่าผู้มีอำนาจ หมายใจจะนำกลับไปเลี้ยงดูที่บ้านต่างเมือง พร้อมกับละวางอำนาจและมอบตำแหน่งคืนให้กับวังหลวง
หลิวซืออิงจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวเดิมมิได้มาก จึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในบ้านจิ้นฝู
จนกระทั่งวันที่นางต้องเดินทางออกจากบ้านครั้งแรก
ออกจากเมืองเซียงฉวนเป็นครั้งแรก...
ใช่อยู่ว่าคุณชายที่นางต้องหาให้พบนั้นอยู่ในเมืองใกล้ๆ กัน นั่นคือเมืองท่าเซียงไห่ นับว่าเป็นพื้นที่การค้าสำคัญ หลิวซืออิงเคยได้ยินคนกล่าวกันว่า ร้านรวงในเมืองล้วนมีแต่ข้าวของที่น่าสนใจ ร้านผ้าไหม ร้านสุรา โรงน้ำชาล้วนขึ้นชื่อ นับว่าเมืองเซียงไห่ล้วนเลื่องชื่อทุกอย่าง แม้แต่หอคณิกาก็ไม่เว้น
ต่างจากเมืองเซียงฉวนอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาชื่อดังโดยสิ้นเชิง และพอคิดว่าจะต้องเดินทางตามลำพัง สาวน้อยหลิวซือ อิงก็ตัวสั่น คนเยอะแยะมากมายขนาดนั้น นางจะเอาตัวรอดได้อยู่หรือ แล้วนางจะรอดจากคุณชายผู้นั้นอยู่หรือไม่
“เจ้าจะมากังวลกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอกนะซืออิง”
นางปลอบใจตนเองขณะเก็บข้าวของลงห่อผ้า เตรียมตัวเดินทางในวันรุ่งขึ้น อาการของฮูหยินสกุลเฉินดูท่าจะไม่ค่อยดี หากนางเร่งรัดอะไรได้ก็ควรจะทำ มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดก็ควรจะนำออกมาใช้โดยไม่ลังเล
คุณชายเฉินซัวเหยียนในความทรงจำของนางนั้นเลือนรางอย่างมาก หลิวซืออิงจำได้เพียงว่าเขาชอบหัวเราะเสียงดัง อวดฟันขาวเรียงสวย นางจำได้เพียงเท่านั้น รูปร่างหน้าตาหรือนิสัยล้วนจำไม่ได้ พยายามระลึกอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ และในเมื่อนึกไม่ได้ ก็ควรสอบถามเอาจากบรรดาสาวใช้ที่อยู่มาก่อนนาง ทว่ายังไม่ทันได้ถาม ความสำคัญที่นางอยากรู้ก็ลอยมาเข้าหูเสียแล้ว
“สงสารฮูหยินเหลือเกิน สิบสามปีแล้วกระมังที่ไม่ได้เจอหน้าคุณชาย”
“ป่านนี้คงมีอนุได้สักสิบคนแล้ว”
“รูปงามและเจ้าชู้หนักเช่นนั้น มีสักร้อยคนก็คงไม่น่าแปลกใจอันใด”
“ข้าเคยได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินส่งคนไปตามกลับบ้าน นึกไม่ถึงว่าจะถูกตะเพิดไล่เยี่ยงสุนัข”
“คงแค้นที่ถูกไล่ออกจากบ้านกระมัง จะให้กลับมาง่ายๆ ก็คงมิใช่เรื่อง”
“เห็นว่าเปลี่ยนจากแซ่เฉิน เป็นแซ่โจว ลดตัวจากบัณฑิตกลายเป็นพ่อค้าเครื่องประดับ น่าเวทนายิ่งนัก”
ผู้ที่ลอบฟังอยู่ถึงกับกลืนน้ำลาย ชัดแล้วว่านางคงไม่สามารถเดินไปบอกให้เขากลับมายังบ้านจิ้นฝูได้ง่ายๆ คงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้คุณชายคิดถึงช่วงเวลาในอดีต ค่อยแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ บ่มเพาะความคิดถึงบ้านให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย ว่าแต่นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
หลังจากคิดอยู่ตลอดคืนก็ยังคิดหาทางอันใดไม่ได้ สาวน้อยจึงจำต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน หลิวซืออิงเอ่ยลาฮูหยิน สกุลเฉิน พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่กลับมา หากยังมิได้ตัวคุณชาย สีหน้าของสตรีที่ถูกเรียกขานว่าท่านอาดูแช่มชื่นขึ้นมาก นางกล่าวว่างานนี้ไม่ควรต้องรีบร้อน เพราะคนที่ต้องพาตัวกลับมาด้วยนั้น มิใช่คนพูดจาเข้าใจอะไรง่าย
ฮูหยินเฉินบอกข้อมูลสำคัญมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ลูกชายของนางชอบหรือมิชอบสิ่งใด และยังย้ำอีกว่าให้หลิวซืออิงใช้เวลาตราบเท่าที่ต้องการ
เมื่อคนป่วยสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี ทั้งยังดื่มน้ำแกงเสียหลายอึกเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรต้องกังวล หลิวซืออิงจึงยอมเดินทางออกจากบ้าน
และในนาทีนั้นเอง คนป่วยก็สลัดผ้าห่มออกจากร่าง ราวกับมิได้รู้สึกหนาวสั่นเจียนตายเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“ไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้ข้า แสร้งป่วยตั้งหลายวัน ทรมานจะตายอยู่แล้ว!”
เฉินม่านอิ๋งหัวเราะให้กับแผนการของตน หลายปีมานี้นางเฝ้าหาวิธีที่จะทำให้ลูกชายยอมกลับบ้าน และคงไม่มีวิธีใดดีเท่ากับการส่งกระต่ายน้อยล่อเสือออกจากถ้ำ นางรอจนกระทั่งกระต่ายโตเต็มวัยจึงส่งออกไปเป็นเหยื่อล่อ ลูกชายของนางชอบสตรีลักษณะใด ไยนางจะไม่รู้ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลิวซืออิงแล้วว่าจะทำให้เฉินซัวเหยียนติดกับดักได้หรือไม่
“ซัวเหยียน หากทำขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมกลับบ้าน ก็มิต้องมาเรียกข้าว่ามารดาของเจ้าดอก!”
