บทที่ 1
บรรยากาศยามค่ำของบ้านสกุลเฉินดูต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมา โดยปกติแล้วหลังตะวันตกดินจะไม่มีใครเดินเข้าออกทำลายความสงบเงียบ ผู้คนต่างพากันหลับใหลตั้งแต่หัวค่ำ หรือไม่ก็ทำงานกันอย่างเงียบๆ ด้วยเจ้าของบ้านค่อนข้างเคร่งครัดในกฎระเบียบ สมกับที่เคยทำงานในวังหลวงนานหลายปี และพอเกิดความวุ่นวายในบ้านจึงเข้าใจได้ทางเดียวว่าคงมิใช่เรื่องดี
บ้านจิ้นฝู ไม่ค่อยได้มีโอกาสต้อนรับแขกในยามดึก ทว่าวันนี้กลับมีหมอมากฝีมือนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของฮูหยินสกุลเฉิน สีหน้าของนางมิสู้ดีนัก ด้วยหลายวันที่ผ่านมา กินอะไรก็ไม่อร่อย ดื่มอะไรก็นึกอยากจะอาเจียน เดือดร้อนบ่าวในบ้านต้องช่วยกันดูแลประคับประคองไปตามอาการ จนกระทั่งเกินกว่ากำลังที่จะดูแลกันเองไหว จึงจำต้องตามท่านหมอในยามวิกาล
เฉินม่านอิ๋ง นายหญิงของบ้านนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ร่างกายร้อนผะผ่าวราวกับตากแดดนานหลายชั่วโมง อีกไม่กี่เดือนนางก็จะมีอายุครบห้าสิบปีแล้ว ทว่าดวงหน้ายังคงความงามสมกับเป็นนายหญิงของบ้าน เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกคนสนิท ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้คนที่รออยู่ข้างนอกเข้ามาพบ
สาวน้อยหน้าตางดงามราวกับภาพวาดขยับตัวเข้ามาใกล้ จนเห็นไฝเสน่ห์อันเล็กๆ ที่ประดับอยู่ใต้ตาข้างซ้ายอย่างชัดเจน ดวงตาของนางมีน้ำตาคลออยู่ แสดงชัดว่ากังวลกับอาการของผู้มีพระคุณ ความจริงวันนี้นางควรจะได้ฉลองกับเพื่อนๆ เพราะอายุครบถ้วนสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว แต่เมื่อฮูหยินที่เลี้ยงนางมานานกว่าสิบสามปีล้มป่วยลง จะให้นางทำใจสังสรรค์กับสหายได้อย่างไร
นางก็มิได้มีสหายมากนักดอก มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ท่านอาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ต้องการดื่มกินอันใดหรือไม่”
“ข้าไม่นึกอยาก”
เฉินม่านอิ๋งทอดสายตามองสาวน้อย นางเป็นคนสวย เสียอย่างเดียวคือไม่ค่อยชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ทว่านั่นก็คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของสตรี สวยธรรมชาติโดยมิต้องมีอะไรมาปรุงแต่ง
หากลูกชายนางยังคงนิสัยดังเดิม สตรีลักษณะเช่นนี้ก็นับว่าเหมาะสมอย่างมาก
เฉินม่านอิ๋งโบกมือไล่ทุกคนไปให้พ้นห้อง ยามนี้แม้แต่สามีของนางก็ไม่ได้อยู่ปลอบใจ
ประมุขของบ้านเดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อน และทันทีที่ก้าวขาออกจากบ้าน ผู้เป็นภรรยาก็ล้มป่วยลงทันที ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก
“มีอันใดที่ซืออิงทำเพื่อท่านอาได้บ้าง”
“คิดว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน” เฉินม่านอิ๋งกระแอมครั้งหนึ่ง
“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะท่านอา หากท่านอาอยากได้สิ่งใด ซืออิงจะหามาให้”
“สิ่งที่ข้าอยากได้ ข้าคงมิกล้ากวนเจ้าดอก”
“ท่านอามีบุญคุณต่อซืออิงเหลือล้น ให้ทั้งที่พักอาศัยและการศึกษา ซืออิงคงอกตัญญูหากมิได้ลองพยายามดูก่อน”
แน่นอนว่าสิ่งที่สาวน้อยวัยสิบแปดปีเอ่ย ล้วนเป็นประโยคที่ฮูหยินสกุลเฉินรอคอย นางลอบยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูอ่อนเพลียน่าสงสารดังเดิม
“ข้าต้องการพบเฉินซัวเหยียนอีกสักครั้ง”
สิ้นคำของเฉินม่านอิ๋งก็พลันบังเกิดความเงียบทั่วทั้งห้อง เนื่องจากบุรุษที่นางต้องการพบ คือบุตรชายผู้ครองตำแหน่งแกะดำหนึ่งเดียวของตระกูล ทั้งยังได้รับฉายาเสือร้ายแห่งเมืองเซียงฉวน
“แต่หากเจ้าไปขอพบเขาเฉยๆ เขาก็คงจะโยนเจ้าออกมา”
คนพูดไอเสียงดังติดต่อกันยาวนาน กว่าจะเริ่มประโยคใหม่ได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
“ซืออิงจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ท่านอาโปรดละวางความกังวลเถอะนะเจ้าคะ”
หลิวซืออิง อาจนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสาวงามแห่งเมืองเซียงฉวน ทว่าการเก็บตัวทำให้นางหลุดรอดจากการสำรวจของหนุ่มๆ ไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยหากไม่อยู่ในบ้านจิ้นฝู นางก็จะอยู่ที่สำนักศึกษา กระนั้นผู้คนก็ยังร่ำลือกันว่า มีบัณฑิตหญิงท่านหนึ่งที่มีกิริยาดั่งนางในวังหลวง ทั้งใบหน้ายังงดงามราวกับสวรรค์ปั้น
แต่พอให้คำสัญญาต่อนายหญิงแห่งบ้านสกุลเฉินเรียบร้อยดีแล้ว นางกลับกลายเป็นสตรีที่ไร้มารยาท ถอนหายใจยาวต่อหน้าบ่าวไพร่บ่อยเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่หากมีผู้ใดใจกล้าพอจะเอ่ยปากถาม นางก็คงจะบอกว่าต้องเริ่มภารกิจเสี่ยงตายในวันพรุ่งนี้ที่จะถึงแล้ว
ภารกิจที่ว่าคือการตามตัวคุณชายเฉินกลับบ้าน ทว่ายามนี้คุณชายเฉินกลับมิใช่คุณชายเฉิน ด้วยหลังจากออกจากบ้านเมื่อสิบสามปีก่อน คุณชายได้เปลี่ยนไปใช้สกุลของภรรยา เปลี่ยนจากบัณฑิตกลายเป็นพ่อค้า สมกับคำว่าแกะดำของตระกูลยิ่งนัก
หากแต่สิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวนั้นมิใช่คำว่าแกะดำ แต่คือคำว่าเสือร้ายจอมเจ้าชู้ ที่ผู้คนทั่วเมืองเซียงฉวนล้วนแต่กล่าวขวัญถึงต่างหากเล่า
