บทที่ 2
อีกสองชั่วโมงต่อมา หลังจากพูดคุยกับอาบูเสร็จเรียบร้อย และปิดท้ายคอร์สการเรียนภาษาอาหรับกับชาวจอร์แดนคนนี้ด้วยการรับประทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับครอบครัวของเขา ตามคำเชื้อเชิญของปิยพรที่ได้ทำอาหารเลี้ยงส่งเธอด้วย ญาดารินก็กลับมาถึงห้องพักของตนเองเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน
หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน วันนี้เธอไม่ต้องรีบเข้านอนเหมือนทุกๆ วัน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอ จึงสามารถอ้อยอิ่งทอดสายตามองภาพถ่ายเกือบร้อยใบที่แปะติดไว้บนผนังห้อง ภาพถ่ายเหล่านี้เป็นภาพของเธอ ที่ได้ไปท่องเที่ยวรับผิดชอบต่อความฝันของตนเอง
หญิงสาวชื่นชอบการเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ในทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก และด้วยเหตุผลนี้ หญิงสาวจึงเลือกเรียนเอกโบราณคดีในระดับมหาวิทยาลัย เธอมีความฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องทำการพิชิตเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ให้ครบให้จงได้ และเมื่อเริ่มทำงานเป็นนักโบราณคดีประจำการอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร หญิงสาวก็เก็บแต้มทำตามความฝันไปเรื่อยๆ และก็ทำเกือบสำเร็จแล้ว
“สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้าง”
ญาดารินพึมพำออกมาขณะดวงตาจับจ้องมองอยู่ที่รูปภาพ ที่ตนเองได้ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นก็ไล่เรียงรายชื่อสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่เธอได้ไปพิชิตมาแล้วด้วยความภาคภูมิใจ
“รูปปั้นพระเยซูคริสต์ กำแพงเมืองจีน เมืองโบราณมาชูปิกชู ทัชมาฮาล สนามกีฬาโคลอสเซียม และพีระมิดแห่ง
เมืองชีเชนอิตซา ว้าว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราทำตามความฝันของตัวเองเกือบสำเร็จแล้ว”
แน่นอนว่ารายชื่อสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหกนั้น ญาดารินได้ไปเยือนมาเรียบร้อยแล้วภายในหกปีที่ผ่านมา คงเหลือแค่เพียงสถานที่สุดท้ายเท่านั้น ที่หญิงสาวจะเดินทางไปชมให้เห็นกับตาในเร็วๆ วันนี้ก็คือ ‘นครเพตรา’
“เพตรา อีกห้าวันฉันก็จะได้คุณแล้ว”
ญาดารินจิ้มนิ้วลงบนภาพสุดท้ายที่เธอปริ้นมาจากกูเกิล ซึ่งเป็นภาพของนครศิลาสีชมพูแกะสลักโบราณ ที่ซ่อน
ตัวอย่างลึกลับอยู่ในหุบเขาวาดิมูซา ในประเทศจอร์แดน
หญิงสาวอยากเห็นมหานครอันเลื่องชื่อ และหลงรักสถานที่โบราณแห่งนี้เป็นอย่างมาก และเพราะอยากเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของชาวเผ่าเบดูอิน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในกระโจมและอาศัยอยู่ในถ้ำในมหานครเพตรา หญิงสาวจึงสืบเสาะหาชาวอาหรับหรือชาวจอร์แดนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนรู้ภาษาอาหรับ เตรียมความพร้อมสำหรับการไปเที่ยวพิชิตหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในครั้งนี้
“อีกห้าวันเท่านั้นญาดา อีกห้าวันเธอก็จะทำตามความฝันสำเร็จแล้ว”
แน่นอนว่าตอนนี้ญาดารินนับเวลาถอยหลัง เพื่อจะไปเยือนดินแดนฟ้าจรดทราย ไปชมนครเพตราให้เห็นกับตาว่ายิ่งใหญ่มหัศจรรย์ สมกับคำเล่าลือหรือไม่
ความฝันของญาดารินใกล้จะเป็นความจริงแล้ว อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงหญิงสาวก็จะได้เห็นมหานครเพตราอันยิ่งใหญ่หลังจากนั่งเครื่องบินจนหลังคดหลังแข็งจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองอัมมาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจอร์แดนเป็นระยะ
เวลาเก้าชั่วโมงกับยี่สิบนาทีด้วยกัน
ด้วยอยากเห็นนครศิลาสีชมพูอันเลื่องชื่อเร็วๆ ญาดารินจึงไม่หยุดพักในตัวเมืองอัมมาน หญิงสาวติดต่อเช่ารถแท็กซี่ให้ไปส่งยังเมืองวาดิมูซา (Wadi Musa) ในทันที ซึ่งนครเพตราอยู่ในหุบเขาในเมืองแห่งนี้ ต้องนั่งรถแท็กซี่อีกสามชั่วโมงด้วยกันกว่าจะถึงเมืองแห่งนี้ แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย กลับเพลิดเพลินกับวิวสองข้างทางถนนอันแปลกหูแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“มีเลี้ยงแพะบนภูเขาด้วย”
ไม่ใช่แค่ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นแพะเป็นฝูงใหญ่ที่ถูกเลี้ยงให้แทะเล็มยอดหญ้าอยู่บนภูเขา ญาดารินได้หยิบกล้องถ่ายรูปมากดชัตเตอร์รัวๆ เก็บบันทึกภาพวิวสองข้างทางถนนไว้ เพราะดูด้วยแค่สายตาคงไม่เพียง
พอสำหรับเธอ ต้องเก็บความประทับใจเหล่านี้ไว้ดูในภายหลังด้วย
อากัปกริยาที่ดูตื่นเต้น กดชัตเตอร์ไม่มีหยุดของนักท่องเที่ยวสาวชาวไทย ทำให้คนขับแท็กซี่ที่มีอัธยาศัยดีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ และก็ชวนนักท่องเที่ยวพูดคุยด้วย
“คุณเพิ่งมาจอร์แดนเป็นครั้งแรกหรือครับ” คนขับแท็กซี่ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าชื่อชาลี ได้เอ่ยถามนักท่องเที่ยว
“ใช่ค่ะ เป็นครั้งแรกของการมาเที่ยวตะวันออกกลาง ฉันอยากมาเที่ยวประเทศจอร์แดน อยากมาเห็นนครเพตรานานแล้วค่ะ”
ญาดารินเอ่ยตอบเป็นภาษาอังกฤษ เพราะชาลีสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ทว่าในใจนั้นหญิงสาวอยากลองวิชาที่เรียนมากับอาบูเหลือเกิน อยากรู้ว่าเมื่อถึงดินแดนอาหรับแล้ว เธอจะสามารถใช้ภาษาได้ดีตามที่อาบูเอ่ยชมหรือเปล่า
“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศจอร์แดนนะครับ ผมดีใจที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศของเรา”
ญาดารินสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เผยออกมา ขณะชาลีได้เอ่ยพูดต้อนรับเช่นนั้น ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกดีเป็นอย่างมากจนอดยิ้มหวานไม่ได้ และคราวนี้ก็เลือกตอบกลับเป็นภาษาอาหรับให้ชาลีต้องเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ
“ขอบคุณค่ะ มันเป็นความใฝ่ฝันของฉันที่อยากมาเห็นนครเพตราสักครั้งก่อนตาย”