บทที่ 4 หนามตำใจ
“ก็ได้ๆ” จากนั้นทุกคนก็กินสุกี้และคุยกันอย่างสนุกก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เขมิกาขับรถกลับบ้านอย่างไม่รีบเร่งเพราะไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุและร้องเพลงคลอเสียงเพลงที่เธอเปิดไปด้วย
“กริ้งๆ กริ้งๆๆ”
“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า” เขมิการับสายของคุณหญิงย่าทันทีเมื่อเห็นเบอร์ของท่านโชว์หน้าจอ
“ขิมอยู่บ้านหรือเปล่า” เสียงแหบของคุณหญิงย่าดังมาตามสายถามหลานสาว
“ขิมมาซื้อของค่ะ กำลังจะกลับบ้านคุณหญิงย่ามีอะไรจะใช้ขิมหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามท่านเพราะคุณหญิงท่านแก่แล้วบางทีท่านก็ใช้เธอทำธุระให้เช่นเอาเครื่องประดับไปซ่อมไปล้างทั้งที่เธอไม่อยากเข้าไปบ้านหลังนั้น
“ย่าว่าจะวานขิมเอาแหวไปซ่อมและลดไซส์ให้น่ะ ย่าใส่แล้วมันหลวมและไปเอาเครื่องเพรชที่ร้านประจำของย่าให้หน่อยสั่งไว้นานแล้ว
“ได้ค่ะคุณย่า ขิมจะให้พี่เวียงไปเอานะคะ” เขมิกาบอกท่านเพราะไม่อยากไปบ้านนั้นไม่อยากเจอเมียพ่อและน้องสาวต่างพ่อ
“ขิมมาเอาเองได้มั้ยลูก” คุณหญิงดลยาอยากเจอหลานสาวและท่านเตรียมของขวัญปีใหม่ให้หลานสาวจึงอยากให้ก่อน
“ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวขิมถึงบ้านแล้วจะไปหาคุณหญิงย่านะคะ”
“ได้ลูก วันนี้แม่จันทำขนมมั้ย แบ่งมาให้ย่าชิมด้วยนะขิม” คุณหญิงบอกหลานสาวเพราะท่านก็ติดรสมือของจันทรา ส่วนมากเวียงจะเป็นคนเอามาให้ท่านทุกวัน
“ค่ะคุณหญิงย่า” เขมิกาวางสายจากคุณหญิงย่าก็ขับรถตรงกลับบ้านหากเป็นความต้องการของท่านเธอก็ทำให้ได้ทุกอย่างหากไม่มีท่านเธอกับแม่คงลำบากเพราะแม่ไม่มีญาติที่ไหนนอกจากคุณหญิงย่าผู้มีพระคุณของแม่และเธอ
เมื่อถึงบ้านเขมิกาจอดรถแล้วก็เดินเอาของไปเก็บในห้องก่อนจะออกมาหาแม่ที่ห้องครัว
“มาแล้วเหรอลูก ทำไมหน้ายุ่งอย่างนั้นล่ะ” จันทราถามลูกสาวที่เดินหน้ายุ่งมาหาเธอ
“คุณหญิงย่าโทรหาค่ะ.”
“อ้าว, ท่านมีธุระจะไหว้วานหรือเปล่าลูก” จันทราคิดว่าคุณหญิงท่านมีเรื่องจะไหว้วานเขมิกาถึงได้โทรหาปกติท่านจะมาหาด้วยตัวเองหรือไม่ก็ให้เลขามาบอก
“ค่ะแม่ เดี๋ยวขิมไปหาท่านก่อนนะคะ” เขมิกาวางของบนโต้ะแล้วเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้านก่อนจะเดินไปประมาณร้อยเมตรกดกริ่งที่หน้าประตู
“สวัสดีค่ะลุงสม”
“สวัสดีครับหนูขิม มาหาคุณหญิงท่านเหรอครับ” นายสมเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องของจันทราและเขมิกาแต่เขาก็ไม่ได้พูดให้ใครฟังคนเก่าแกที่อยู่มารุ่นเดียวกันก็ไม่มีใครพูดเพราะคุณหญิงท่านมีเมตตาและใจดีทำให้ทุกคนรักและนับถือท่านมากต่างจากคุณสิริลูกสะใภ้ที่เจ้ายศเจ้าอย่าง
“ค่ะลุงสม ขิมขอตัวก่อนนะคะ” เขมิกาบอกลุงสมยามเฝ้าประตูแล้วเดินไปตามถนนกว้างที่รถสวนกันได้สบายมองคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์อังกฤษราคากว่าสองร้อยล้านหรือมากกว่านั้นเธอก็เดาไม่ถูกขนาดตึกที่คนใช้ในบ้านพักยังใหญ่กว่าบ้านเธออีกแต่หญิงสาวไม่ได้สนใจและไม่อยากมาเลยสักนิดเพราะคุณหญิงย่าทำให้เธอต้องมา สาวร่างเล็กเดินจากประตูรั้วเข้าไปถึงคฤหาสน์ประมาณสามร้อยเมตรมันก็ทำให้เหงื่อแตกเหมือนกัน
“คุณหญิงท่านรอที่ห้องพักผ่อนค่ะ” ชมชื่นคนสนิทของคุณหญิงย่าเป็นทั้งเลขาและดูแลติดตามเรียกหลานสาวเจ้านายเมื่อเขมิกาเดินมาถึงหน้าบ้านเธอรับคำสั่งคุณหญิงให้มารอหลานสาวท่าน
“สวัสดีค่ะคุณชื่น” หญิงสาวยกมือไหว้เลขาคนสนิทของคุณหญิงย่าอย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีจ้ะหนูขิม พักนี้งานยุ่งเหรอจ้ะ คุณหญิงท่านบ่นหาหนูขิมทุกวันเลยว่าหายไปไหน” ชมชื่นเดินนำไปด้านข้างที่มีประตูเข้าห้องพักผ่อนของคุณหญิงโดยไม่ผ่านในบ้าน
“ก็ยุ่งค่ะ ช่วงนี้เจ้านายเดินทางบ่อย แต่ขิมโชคดีที่ไม่ต้องไปกับท่านแต่ต้องรับผิดชอบงานให้เพื่อนด้วยค่ะก็เลยกลับบ้านค่ำทุกวันค่ะ”
“ข้ออ้างหรือเปล่าแม่ขิม” เสียงแหบของคุณหญิงดลยาวัยเจ็ดสิบห้าปียังสวยสง่าและใจดีไม่เปลี่ยนแปลง
“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า ขิมเปล่านะคะ งานยุ่งจริงๆค่ะ” เขมิกาคุกเข่าลงบนพื้นพรมแล้วกราบที่ตักท่านแล้วยิ้มเมื่อท่านลูบศีรษะเบาๆ
“ยุ่งก็ยุ่ง ชื่นเอากล่องนั่นมาให้ฉันหน่อยสิ”
“นี่ค่ะคุณหญิง”
“นี่ของขวัญปีใหม่ ย่าให้ก่อนใครเดี๋ยวที่บ้านมีงานแล้วย่ากลัวจะลืม แล้วนี้เอาไปตัดไซส์ให้ย่าด้วย และเช็คนี่เอาไปให้ที่ร้านย่าโทรบอกแล้วว่าขิมจะไปรับ” คุณหญิงยื่นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดเล็กสี่กล่องที่ใส่แหวนเพชรของท่านและเช็คหนึ่งใบมูลค่าสามล้านห้าแสนบาทถ้วนให้หลานสาวไปจัดการธุระให้ท่าน “แล้วนี่ค่าตัดแหวนลูก” คุณหญิงยื่นเงินปึกหนึ่งให้เขมิกาแต่หญิงสาวไม่รับ
“ที่คุณหญิงย่าให้ขิมครั้งก่อนยังเหลือพอจ่ายค่าตัดแหวนค่ะ ถ้าไม่พอขิมจะมาเบิกกับคุณหญิงย่านะคะ” เขมิกาบอกท่านที่ส่ายหน้าให้กับความมักน้อยของเขมิกาต่างจากสิริดาหลานสาวคนเล็กที่ใช้เงินเป็นเบี้ยงานการก็ไม่ทำเอาแต่เที่ยวเตร่ช้อปปิ้ง
“ขอบใจนะลูก แล้วขนมของย่าล่ะ” คุณหญิงท่าทวงขนมจากหลานสาว
“แฮ่ะ ๆ ขอโทษค่ะคุณย่าเดี๋ยวขิมให้พี่เวียงม้าเร็วเอามาให้นะคะ ขิมขอตัวนะคะคุณหญิงย่า” เขมิกามองนาฬิกาเพราะไม่อยากเจอใครในบ้านนี้คุณหญิงก็เข้าใจหลานสาว
“ไปเถอะลูก ชื่นเอาถุงมาใส่ของให้แม่ขิมหน่อยสิ”
เขมิกาไหว้ลาคุณหญิงย่ากับคนสนิทแล้วถือถุงผ้าเดินออกไปทางเดิมเพื่อเลี่ยงเจอกับคนในบ้านที่เธอไม่อยากเจอและไม่อยากมีปัญหาหญิงสาวเดินมาครึ่งทางก็เห็นรถลัมโบกินี่สีดำสุดหรูที่เธอทำเป็นรอยเมื่อตอนบ่ายเลี้ยวเข้ามาประตูรั้วมาและมาจอดตรงหน้าเธอ
“มาหาคุณหญิงย่าเหรอหนูขิม” ขุนศึกถามน้องสาวต่างแม่หิ้วถุงผ้าเดินออกมาจากบ้าน
“ค่ะคุณขุน เอ่อ เรื่องรถเดี๋ยวขิม...”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่มีประกัน.”
“ขอบคุณมากนะคะคุณขุน”
“แล้วมีขนมมาเผื่อพี่มั้ยหนูขิม” ขุนศึกไม่ได้โกรธเกลียดเขมิกาเพราะมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่หญิงสาวน่าสงสารมากกว่า และเข้าใจแม่ที่เจ็บช้ำเพราะพ่อแต่จันทราไม่ได้อยากแย่งเธอโดนปล้ำทำให้ต้องยอมจนท้องเรื่องจึงแดงขณะนั้นเขายังเด็กจึงไม่รู้ความมาก หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ดื่มเหล้าอีกยกเว้นออกงานสังสรรค์ก็ดื่มเป็นพิธีทำแต่งานไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงอีกเลยทำให้แม่ของเขาเชื่อใจอีกครั้งแม้ตอนแรกจะระแวงเพราะจันทราอยู่ห่างแค่รั้วกั้นก็จริงแต่ทั้งสองไม่เคยเจอกันเลย
“เดี๋ยวขิมให้พี่เวียงเอามาให้ค่ะ ขิมขอตัวก่อนนะคะ” ขิมยกมือไหว้พี่ชายต่างแม่แล้วเดินไปที่ประตูรั้วเพื่อกลับบ้าน ขุนศึกก็ขับรถเข้าไปจอดแล้วขึ้นบ้านก็เจอแม่ของเขานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ทำไมวันนี้กลับบ้านได้ล่ะตาขุน” สิริถามลูกชายปกติจะกลับหลังเที่ยงคืนหรือก็ไม่กลับเลย
“โธ่,แม่ครับมันก็เบื่อบ้างสิครับ คุณพ่อยังไม่กลับอีกเหรอครับ”
“ยังลูก แล้วเมื่อกี้หยุดคุยอะไรกับเด็กนั่น”
“ไม่มีอะไรครับแค่ถามว่ามาหาคุณหญิงย่าเท่านั้นเองครับ”
“แม่ไม่อยากให้ขุนไปยุ่งกับเด็กนั่นและคนบ้านนั้น แม่ขอได้มั้ยลูก” คุณสิริพูดกับลูกชายที่เพราะไม่อยากให้ไปนับพี่นับน้องกับเขมิกา
“คุณแม่ครับ เรื่องมันก็นานมาแล้วนะครับ อีกอย่างผมก็ไม่เห็นว่าหนูขิมกับแม่จะมายุ่งกับบ้านเรานี่ครับ จะให้ผมเกลียดหนูขิมผมทำไม่ได้หรอกครับยังไงก็เป็นน้องถึงจะคนละแม่ก็เถอะ คุณแม่อย่าคิดมากไปเลยครับ”
