บทที่ 6
สิ่งที่ภูริชทำเป็นกิจวัตรแทบจะประจำวันเมื่อกลับมาถึงโรงแรมที่พักแล้วคือการโทร.เช็คความเคลื่อนไหวของจิลลาภัทร
และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาภายในห้องพักในโรงแรมหรูแล้วก็หยิบโทรศัพท์โทร.หาน้องสาวในทันที
นอกจากจะสอบถามความเป็นอยู่ของจิลลาภัทรแล้ว เขาจะบอกให้น้องสาวรู้ด้วยว่าการแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรในแบรนด์ วิชชุกร ได้รับการตอบรับเกินคาด ลูกค้าต่างก็สนใจและสั่งจองเครื่องเพชรเป็นจำนวนมาก ซึ่งทันทีที่เขากลับถึงประเทศไทย ลูกน้องในบริษัทของเขาได้ทำงานมือเป็นระวิงแน่ แค่ออร์เดอร์สั่งจองเครื่องเพชรที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้มีถึงสองพันรายการแล้ว ยังไม่นับรวมการจองที่จะตามมาอีกเรื่อยๆ ด้วย
ขณะรอสัญญาณให้จิลลาภัทรรับสาย ใบหน้าของภูริชก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มของความภาคภูมิใจที่ธุรกิจเครื่องประดับของตนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
แต่แล้ว...รอยยิ้มที่ปรากฏบนในหน้าคมเข้มก็มีอันต้องจางหายไป เมื่อปลาย
ทางได้กดรับสาย และมีน้ำเสียงห้าวห้วนเอ่ยทักทายแทนที่จะเป็นน้ำเสียงหวานๆ ของน้องสาวของเขา
“สวัสดีไอ้ตะวัน”
ภูริชขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เมื่อได้ยินเสียงทักทายเป็นเสียงบุรุษหนุ่ม หาใช่น้ำเสียงของจิลลาภัทรไม่ เขาเอาโทรศัพท์ออกห่างจากใบหู แล้วมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ได้กดผิด ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเขาได้กดโทรออกจากรายชื่อที่ได้บันทึกไว้ในโทรศัพท์ ซึ่งไม่มีทางโทรผิดเบอร์อย่างแน่นอน
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงเอาโทรศัพท์ของจันทร์เจ้ามาใช้”
ขณะเอ่ยถามภูริชก็พยายามคิดในทางที่ดีว่า จิลลาภัทรอาจทำโทรศัพท์หายและมีคนอื่นเก็บได้ แต่เขาลืมนึกไปว่าปลายทางที่กดรับสาย ได้เรียกชื่อเล่นของเขาได้อย่างถูกต้อง
“ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี จำไม่ได้แล้วหรือว่าเราคือใคร”
เจอคำถามนี้เข้า ภูริชก็พยายามนึกทบทวนว่าใครคือเจ้าของน้ำเสียงเยาะหยันเสียงนี้ แต่เมื่อนึกไม่ออกก็ตะคอกถามเสียงดังลั่น
“แกเป็นใคร เอาโทรศัพท์ของจันทร์เจ้ามาใช้ได้ยังไง”
ชีคฟารีสต์หัวเราะร่วนเสียงดัง จากนั้นก็เค้นเรียกชื่อภูริชอย่างเน้นคำ ด้วยสรรพนามที่พระองค์เคยเรียกอีกฝ่ายเสมอ ตอนที่พำนักอยู่ในรัฐอิลลินอยส์
“ฮึๆ ไม่นึกว่า ‘ไอ้กระจอก’ จะลืมเราได้เร็วถึงเพียงนี้”
“ชีคฟารีสต์!” คราวนี้ภูริชตะโกนดังลั่นกว่าเดิม เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ เมื่อรับรู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร “นายไปทำอะไรที่บ้านของเรา แล้วจันทร์เจ้าอยู่ที่ไหน เรียกเธอมารับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้”
ชีคฟารีสต์ทรงหัวเราะอีกครั้งกับคำสั่งของภูริชที่ไม่มีผลต่อพระองค์สักนิด
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะไอ้กระจอก เราไม่ได้อยู่ที่บ้านของเจ้า แต่น้องสาวของเจ้าต่างหากที่โผบินเข้ามาอยู่ในกรงทองของเรา”
“หมายความว่ายังไงชีคฟารีตส์”
ภูริชตะโกนถามด้วยความหวาดกลัว ไม่อยากนึกคิดไปไกลว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของตน เมื่อต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของชีคจอมบ้าอำนาจ
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็คิดไม่ออก” ชีคฟารีสต์เยาะหยัน ก่อนจะเค้นเสียงบอกให้อีกฝ่ายได้คลั่งเพราะความโกรธ “จะบอกให้เอาบุญนะไอ้กระจอก ตอนนี้น้องสาวของเจ้าเป็นเมียของเราแล้ว”
“ชีคฟารีสต์! ปล่อยจันทร์เจ้าเดี๋ยวนี้”
ภูริชตะโกนสั่งดังลั่น แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะราชนิกุลหนุ่มผู้มีชัยเหนือกว่าได้กด
ตัดสาย พร้อมกับปิดโทรศัพท์เพื่อป้องกันไม่ให้ภูริชโทรมารบกวนเวลาสำราญของพระองค์
“บ้าชะมัด ไอ้ชีคบ้ามันกดวางสายแล้ว”
ภูริชกัดฟันกรอดขณะสบถลั่น ลองกดโทร.หาน้องสาวอีกหลายๆ ครั้ง ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะนอกจากจะตัดสายทิ้งแล้ว ชีคฟารีสต์ยังปิดโทรศัพท์เพื่อตัดขาดการติดต่อด้วย
“ไอ้ชีคจอมบ้าอำนาจ”
ภูริชยังตะโกนด่าไม่มีหยุด และเมื่อนึกถึงคำพูดของชีคฟารีสต์ที่บอกว่าจิลลาภัทรตกเป็นเมียของพระองค์แล้ว ก็เป็นห่วงน้องสาวจับใจ และไม่รอช้ารีบผุดลุกขึ้นจัดกระเป๋าเดินทาง เพื่อบินกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน
“ชีคฟารีสต์ ถ้าคุณรังแกจันทร์เจ้า ทำให้น้องสาวของผมต้องน้ำตาตก คุณได้เจอกับผมแน่ ชีคก็ชีคเถอะ พ่อจะซัดให้น่วมเลย”
ภูริชเค้นเสียงคาดโทษด้วยความโกรธแค้นไปถึงประมุขแห่งแผ่นดินทะเลทราย ซึ่งเป็นคู่แค้น คู่กัดกับเขาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา