บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

คลินต์ส่ายหน้าปฏิเสธกับคำด่าแกมแนะนำจากพี่ชาย “ผมไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับชีวาพร”

“ทำไมนายถึงกลายเป็นคนขี้ขลาดขึ้นมาได้ กล้าทำก็ต้องกล้ารับผิด และใจนักเลงมากพอที่จะดาหน้าไปขอโทษเธอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปห้าปี สิบปีก็ไม่สายเกินไปที่นายจะขอโทษชีวาพร”

ฌอนด่าซะยืดยาว ได้แต่หวังว่าคลินต์จะยอมทำตาม ก่อนจะเอ่ยขู่ต่อว่า

“ถ้าหากนายไม่ไป พี่นี่แหละจะลากคอนายไปขอโทษชีวาพรเอง”

“ผมมีเวลาเหลือไม่มากถึงเพียงนั้น”

คลินต์ปฏิเสธเสียงแผ่วเบา หลุบสายตาลงมองแก้วบรั่นดีในเมื่อเพื่อไม่ให้ฌอนเห็นบางสิ่งบางอย่างที่วิ่งวนอยู่ทั่วดวงตาของเขา

คำตอบที่ฟังดูไร้เหตุผล ทำให้คลินต์ถูกผู้เป็นพี่ด่ากลับในทันควัน “ไม่มีเวลาบินไปประเทศไทย แต่นายมีเวลานั่งกินเหล้าเป็นวันๆ นายไม่ควรทำตัวขี้ขลาดแบบนี้”

“บางครั้งผมก็เป็นคนขี้ขลาดเหมือนที่พี่ด่า”

คลินต์ยอมรับยังคงจ้องมองแค่เพียงน้ำสีอำพันในแก้วที่ถืออยู่ พร้อมกับบีบแก้วไว้แน่นจนเส้นเอ็นตรงหลังข้อมือปูดโปน ทว่า...ฌอนไม่ได้สังเกต นอกจากตำหนิน้องชายด้วยความโมโห

“พี่ไม่เคยสอนให้นายเป็นคนขี้ขลาดและไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ไปนอนซะ คลินต์ พี่จะจองตั๋วเครื่องบินให้นาย พรุ่งนี้นายต้องไปประเทศไทย”

“ผมไม่มีเวลาอยู่ได้นานถึงเพียงนั้น” คลินต์ยังคงพูดในประโยคเดิมเหมือนต้องการบอกให้ฌอนรับรู้ถึงสัญญาณบางอย่าง

ฌอนตีสีหน้าบึ้งตึงออกคำสั่งแกมตวาดพร้อมกับดึงแก้วเหล้าออกจากมือของคลินต์

“ไปนอน! พรุ่งนี้เตรียมตัวเดินทางไปประเทศไทย”

คลินต์เงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ “ไม่! ฌอน พี่ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจตรงไหน ถ้ายังงั้นนายช่วยอธิบายให้มันกระจ่างว่าทำไมถึงไม่ไปขอโทษชีวาพร ทำไมถึงไม่ไปพบหน้าลูกของนาย ซึ่งชีวาพรอาจจะไม่ได้ทำแท้งก็ได้” ยิ่งพูด ฌอนก็ยิ่งโกรธน้องชายมากกว่าเดิม

“ผมอยากพบลูกและชีวาพร”

คลินต์บอกถึงความต้องการของตน แววตาเต็มไปด้วยความหมองเศร้าขณะจ้องมองและจับมือของพี่ชายไว้แน่นแล้วเอ่ยขอร้อง

“สัญญาสิฌอน ถ้าหากผมตาย พี่ต้องพาลูกของผมและชีวาพรมาไหว้หลุมศพของผม”

“คลินต์! นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

ฌอนขมวดคิ้วเข้าหากันให้ยุ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายต้องพูดเหมือนกำลังสั่งเสีย

“ผมรู้ว่ากำลังพูดและทำอะไรอยู่ สัญญากับผมสิครับ”

คลินต์เอ่ยขอคำสัญญาอีกครั้ง ยังจับมือของพี่ชายไว้แน่น ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งรอฟังคำสัญญาจากพี่ชาย

“พี่ไม่สัญญากับนาย...”

ฌอนปฏิเสธเสียงแข็ง สิ่งที่คลินต์ขอร้องไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะทำให้ แต่...เขาไม่ชอบใจเอาซะเลยที่น้องชายพูดเป็นลางไม่ดี จากนั้นก็สั่งอีกฝ่ายเสียงห้วน

“ปล่อยมือได้แล้วพี่จะไปนอน”

“ได้โปรด...ฌอน...สัญญากับผม...” คลินต์วิ่งวอน ดวงตาแดงก่ำกับความรู้สึกเศร้าใจที่แล่นมาจุกอก

ฌอนเริ่มรำคาญน้องชาย กอปรกับอ่อนเพลียและปวดหัวจากการทำงานมาทั้งวัน อยากไปพักผ่อนสักที จึงรับปากส่งๆ ไปว่า

“ก็ได้ พี่สัญญา”

“ขอบคุณครับ” คลินต์คลี่ยิ้มออกมาได้ จากนั้นก็สวมกอดร่างกำยำของพี่ชายไว้แน่น “ขอบคุณที่พี่ยอมทำตามคำขอร้องของผม...ผมรักพี่ ฌอน...”

ฌอนสวมกอดกลับคืนตบหนักๆ ไปบนบ่าของน้องชายที่แลดูอ่อนแอไม่ต่างจากเด็กตัวน้อย พร้อมกับเอ่ยบอกแกมออกคำสั่งไปในตัว

“เลิกกินเหล้าซะแล้วไปอาบน้ำให้สร่างเมา พรุ่งนี้เตรียมตัวเดินทางไปประเทศไทย พี่จะให้อดัมจองตั๋วให้นายเดี๋ยวนี้”

‘อดัม’ ที่ฌอนพูดถึงคือเลขาฯ ส่วนตัวของเขา ซึ่งทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ แถมยังเรียกใช้งานได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย

“ขอบคุณมากครับ...พี่ชาย...ขอบคุณที่ยอมรับปากให้สัญญากับผม” คลินต์บีบมือฌอนไว้แน่น ก่อนจะปล่อยมือให้พี่ชายได้ไปพักผ่อน

ฌอนจ้องมองน้องชายอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเดินขึ้นบันไดบ้านตรงไปยังห้อง

นอนของตน โล่งอกมาระดับหนึ่งที่คลินต์รับปากว่าจะเลิกกินเหล้าและไปนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปประเทศไทย

เจ้าของร่างใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาภายในห้องนอน ขณะดึงเนคไทออกจากลำคอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาอดัมด้วย

“อดัม จองตั๋วเครื่องบินไปประเทศไทย เที่ยวบินในวันพรุ่งนี้ให้คลินต์ด้วย”

ฌอนเอ่ยสั่งในทันทีที่ลูกน้องกดรับโทรศัพท์ สร้างความสงสัยให้กับปลายทางเป็นอย่างมากจนต้องถามซ้ำผ่านโทรศัพท์ว่า

“คุณคลินต์จะไปประเทศไทยหรือครับ”

“ใช่” ฌอนรับคำ พลางเอ่ยสั่งต่อ “จะจองที่นั่งชั้นหนึ่งหรือชั้นประหยัดก็ได้ ขอแค่มีที่นั่งว่างสำหรับคลินต์ก็พอ”

“ได้ครับ เจ้านาย ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ”

อดัมรับคำสั่ง รีบเปิดโน้ตบุ้คเพื่อค้นหาตั๋วเครื่องบินและทำการจองตามที่เจ้านายได้สั่งการ

“ได้ตั๋วแล้วโทร.มาบอกเราด้วย”

“ครับ ผมขอเวลาสักหนึ่งชั่วโมงนะครับเจ้านาย”

“จัดการให้เร็วที่สุด”

ฌอนสั่งกำชับอีกครั้ง ก่อนจะกดวางสาย มั่นใจว่าอดัมจะสามารถจัดการซื้อตั๋วเครื่องบินให้คลินต์เดินทางไปประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ได้อย่างแน่นอน

และเมื่อสั่งงานอดัมเรียบร้อยแล้ว ฌอนก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นพร้อมกับเทเกลือหอมใส่อ่างจากุซซี่ อยากนอนแช่น้ำอุ่นสักชั่วโมงให้คลายความปวดเมื่อยตามร่างกาย

แต่...ไม่ทันได้ถอดเสื้อเชิ้ตออกจากตัว ฌอนก็ต้องสะดุ้งกับเสียงรถยนต์ที่แล่นออกจากบริเวณคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

เอี๊ยดด...

เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นถนนกอปรกับเสียงเครื่องยนต์ของรถเฟอรารี่ที่ดังกระหึ่มขณะออกตัว ทำให้ฌอนต้องรีบวิ่งออกจากห้องน้ำตรงไปยังระเบียงนอกห้อง และก็เห็นรถเฟอรารี่สีแดงของคลินต์แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว

“บ้าชะมัด! คลินต์ ทำไมขับรถออกไปทั้งๆ ยังเมาอยู่”

ฌอนได้แต่ตะโกนด่าตามหลัง ซึ่งแน่นอนว่าผู้เป็นน้องชายไม่มีทางได้ยิน และด้วยเป็นห่วงเกรงว่าคลินต์จะประสบอุบัติเหตุ ชายหนุ่มจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอน คว้าโทรศัพท์โทร.หาน้องชาย หากคลินต์รับโทรศัพท์ เขาต้องการสั่งให้อีกฝ่ายกลับบ้านเดี๋ยวนี้

ทว่า...คลินต์ไม่รับโทรศัพท์ และนั่นยิ่งทำให้ฌอนเป็นห่วงน้องชายมากจนต้องรีบวิ่งออกจากห้องนอน ตั้งใจจะขับรถออกไปตามคลินต์ ซึ่งไม่เป็นการยากเพราะรถเฟอรารี่ของคลินต์มีระบบจีพีเอสเขาสามารถเช็คเส้นทางที่น้องชายขับไปได้ แต่เมื่อวิ่งลงบันไดมาได้แค่เพียงครึ่งทาง ก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับเสียงที่แล่นมากระทบโสตประสาท

โครม!!!

“คลินต์...”

ฌอนครางเรียกชื่อน้องชายอยู่ในลำคอ ภาวนาว่าเสียงชนกันดังสนั่นหวั่นไหวไม่ได้เกิดจากรถยนต์ของคลินต์ แต่คำภาวนาไม่เป็นผล เมื่อคนรับใช้วิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกว่า

“เจ้านาย คุณ...คุณคลินต์ขับรถชน...ชนเสาไฟ”

“คลินต์!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel