8
ซึ่งอาจจะหมดโอกาสได้เจอ ‘หนุ่มหล่อรวยพ่อแม่ตายหมด’ ตามสเปคในกลุ่มเพื่อนมาไว้เป็นตัวเลือกสำหรับเป็นสามีในอนาคตไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างเถอะมี่! ไม่แน่นะคนอย่างเราอาจจะเอาดีกับงานพวกนั้นได้ไม่ดีเท่านี้ คนขวางๆ อย่างเราจะไปทนหลับหูหลับตา หรือตอหลดตอแหลอยู่ในสังคมจอมปลอมได้สักกี่วันเชียว ว่าแต่คืนนี้พ่อคุณของมี่ไม่มาเหรอ ถึงว่างมาคุยด้วยได้น่ะ”
เอมิกามักจะไม่ค่อยมีเวลาในทุกครั้งที่หนุ่มใหญ่เมียเผลอมาหา เพราะต้องคอยเอาอกเอาใจปรนเปรอเรือนกายให้ถึงอย่างพริกถึงขิงเพื่อแลกกับรางวัลก้อนโต แล้วจะได้เผื่อแผ่ไปหาพ่อแม่กับน้องๆ ที่รอคอยอยู่บ้านนอกด้วย
“เฮ้อ!!! ตอนแรกก็โทรบอกดิบดีว่าจะมา แต่เมื่อเย็นส่งข้อความมาว่าติดธุระด่วน สงสัยถูกบ้านใหญ่ดึงตัวไว้ล่ะมั้ง”
น้ำเสียงคนพูดแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน ทว่าคนช่างสังเกตอย่างอาทิตยาก็เดาได้ไม่ยากว่าตอนนี้เพื่อนรักกำลังตกอยู่ในภาวะไหน ดวงหน้าสวยที่มีแววอ่อนล้าอยู่มากค่อยๆ หันไปจ้องมองดวงหน้าที่มีแววเศร้าน้อยๆ ของเพื่อนด้วยความเข้าใจ เห็นใจและละเหี่ยใจอย่างบอกไม่ถูก
“คนมีเจ้าของก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะมี่ ถ้าพอจะทำใจได้ก็ให้รีบถอนตัวซะนะ หรือถ้าถอนตัวไม่ได้ก็ขอให้ถอนใจออกจากเขาเถอะ เพื่อประโยชน์ของหัวใจมี่เอง”
มือบางตบบ่าเพื่อนเบาๆ แล้วรีบลุกขึ้นไปคว้าผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้เจ้าของดวงหน้าหงอยเหงามองตามอย่างครุ่นคิด ด้วยตระหนักดีว่า แม้เพื่อนจะพูดตรงไปตรงมา
แต่ก็เห็นว่านั่นเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องที่ตัวเองควรจะเริ่มทำได้แล้ว และหลังจากที่อาทิตยากลับมาล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก็กลายร่างเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้เพื่อนเกือบทั้งคืน
กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง กริ้ง
สะดุ้งตื่นตอนหกโมงเมื่อเสียงนาฬิการ้องเรียก แม้จะยังง่วงก็ต้องรีบลากสังขารลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัว หันไปมองเพื่อนยังนอนหลับเป็นตายอยู่ก็ส่ายหน้าน้อยๆ
ก่อนจะรีบตรงดิ่งไปยังคฤหาสน์วัชราเวโรจน์ทันที แม้จะเพิ่งเจ็ดโมงกว่าๆ เท่านั้น แต่นี่ก็เป็นเวลาทำงานปกติที่เคยเป็นมานับตั้งแต่กินเงินเดือนของคุณผู้หญิงบ้านนี้
“ข้าวต้มขาว ยำกุ้งแห้ง ไข่เจียว ผัดผักบุ้งไฟแดง แล้วก็ปลาเค็มค่ะคุณตะวัน”
ผ่อนแจกแจงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสำหรับเมนูเช้า และก็ได้ยิ้มน้อยๆ จากเลขาสาวสวยเป็นสิ่งตอบแทนเช่นกัน ผ่อนถึงได้หันกลับไปหามีดกับเขียงตามเดิม ส่วนเลขาก็จัดการชงกาแฟแก้วโตเองเสร็จสรรพ พร้อมกับประคองเดินออกจากครัวตรงไปยังห้องทำงาน
แต่ก็ต้องมุ้ยหน้าอย่างไม่ชอบใจในสภาพไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของเลขาคนก่อน จากเมื่อแรกตั้งใจจะนั่งจิบกาแฟอยู่กับโต๊ะต้องเปลี่ยนไปเป็นยืนพิงขอบหน้าต่างมองออกสนามหญ้าอันเขียวขจีแทน
ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำดวงตาคู่งามก็ต้องละจากต้นไม้สดใสหันกลับมาหาเอกสารกองเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ฝุ่นก็เกาะแทบจะทุกตารางนิ้วก็ว่าได้ ไม่อยากจะเหมารวมว่าคนก่อนขี้เกียจจะปัดกวาด เพราะงานคงจะยุ่งวุ่นวายหลายอย่างเต็มที
หากไม่จัดการให้เป็นระบบระเบียบเร็วๆ รับรองว่าไม่มีทางทำทันอย่างแน่นอน ร่างผอมบางเดินกลับเข้าครัวอีกครั้งและกลับออกมาพร้อมผ้าขี้ริ้ว กะละมังน้ำและไม้กวาดขนไก่
หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กับการกำจัดฝุ่นและตรวจตราดูเอกสารต่างๆ บนโต๊ะ ในตู้และแฟ้มที่วางเกลื่อนอยู่ตามพื้นห้องด้วยความเหนื่อยใจกับสภาพเก่าๆ เรื่องเก่าๆ คิดว่าหลีกหนีพ้นแล้วก็ยังต้องกลับมางมอีก
ต่อให้เงินเดือนเยอะกว่านี้อาทิตยาก็อยากจะออกปากปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดนาน เพราะรู้ดีว่าทำงานที่นี่จะต้องงัดความคิด ความอดทนและพลังงานในตัวมาใช้มากน้อยแค่ไหน
“คุณตะวันคะ คุณผู้หญิงให้เชิญที่ห้องอาหารค่ะ”
และตอนนี้ก็เริ่มขึ้นแล้ว อาทิตยาละสายตาจากเอกสารในมือเงยขึ้นไปมองแหม่มแล้วยิ้มกับพยักหน้าให้เป็นการรับรู้เท่านั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมกับคว้าเอาสมุดโน้ตประจำตัวกับปากกาเดินไปยังห้องอาหารใหญ่โตหรูหรา
ทว่าคนนั่งอยู่ก่อนแล้วกลับมีแค่สองคน คือคุณผู้หญิงกับลูกชายคนโต ส่วนจิรเดชไปทำงานตั้งแต่ยังไม่แปดโมงด้วยซ้ำ จิรฐากับจิรายุก็ไปโรงเรียนแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่จิรนันท์เท่านั้นที่อาทิตยาเดาได้ไม่ยาก
ว่าตอนนี้ยังคงนอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่ม กับเครื่องปรับอากาศสิบแปดองศาโดยไม่ได้สนใจกับภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด และคงจะหลับยาวไปเกือบถึงเที่ยงกว่าจะตื่นขึ้นมาหาของกินหรือไม่ก็สั่งโน่นนี่นั่นให้เด็กรับใช้ในบ้านหัวหมุนไปตามๆ กันอย่างที่เคยเป็นมาและจะเป็นไปแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน
แต่แน่ใจเถอะว่าหญิงสาวจะไม่รออยู่ให้ถึงวันนั้นแน่ สองหรือไม่ก็สามปีนับจากนี้ เธอก็จะสลัดคำว่าบุญคุณออกจากหัวแลกกับการทำงานหนักๆ ถูกจิกหัวไม่ว่างเว้น เพื่อให้พ่อแม่สบายใจขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“มากินข้าวด้วยกันสิตะวัน จะได้คุยงานไปด้วย ฉันล่ะหมดห่วงจริงที่กลับมาช่วยงานฉันอย่างเดิม แหม่มตักข้าวได้”
ชมจันทร์ทักทายเลขาด้วยใบหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปสั่งแหม่มเสียงเข้มตามแบบ จิณณวัตรพยักหน้าให้แหม่มเมื่อได้ข้าวต้มในชามแล้วลงมือกินในทันทีด้วยความหิวและคิดถึงอาหารไทยมานาน ตรงกันข้ามกับอาทิตยาที่เปิดสมุดโน้ตกางไว้ข้างๆ แทนการจับช้อน เพราะรู้ดีว่าจุดมุ่งหมายของเจ้านายที่เรียกมานั่งกินด้วยกันนั้นคืออยากจะสั่งงานมากกว่า
“กินก่อนเถอะตะวัน ฉันหิวเมื่อคืนไม่ได้กินอะไรสักเท่าไหร่มัวแต่กังวลว่าจะรับแขกได้ไม่เต็มที่”
คราวนี้ผิดคาดไปนิดเมื่อคุณผู้หญิงออกปากบอก จึงทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอน