บทที่ 6
การะบุหนิงอยากจะกรีดร้องให้ลั่นห้องหลังจากได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลของบริษัทเกริกไพศาล คอนสตรัคชั่นว่าเธอได้รับพิจารณาเข้าทำงานในตำแหน่งเลขาส่วนตัวของท่านประธานบริษัท ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์ขาสั้นทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความดีใจ นัยน์ตากลมใสสว่างวาบขึ้นอย่างปีติเมื่อความตั้งใจของเธอในขั้นแรกสำเร็จผลแล้ว...เหอะ ปล่อยให้เธอลุ้นมาได้ตั้งสามวันสามคืนจนเธอเริ่มมองหาวิธีอื่นที่จะเข้าใกล้อคิราห์ไปแล้วเพราะคิดว่าเขาคงไม่รับเธอเข้าทำงานแน่ๆ...
หลังจากนอนกลิ้งเกลือกอยู่ครู่ใหญ่ การะบุหนิงก็คว้าโทรศัพท์มาโทรหามิ่งโกมุท นักข่าวสาวหัวเห็ดเพื่อนซี้แจ้งข่าวดีนี้ให้ทราบทันที
“ตกลงว่าเขารับแกเข้าทำงานแล้วใช่มั้ย” มิ่งโกมุทถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู เพราะตลอดสามสี่วันที่ผ่านมานี้เธอต้องมานั่งฟังยัยแก้วพร่ำบ่นเรื่องที่นายอคิราห์ไม่ยอมติดต่อกลับมาสักทีจนหูเธอแทบจะชาแล้ว และยัยเพื่อนของเธอก็ดูจะเริ่มถอดใจกับแผนการขั้นแรกไปแล้วเหมือนกัน
“ก็ใช่น่ะสิ นี่ฝ่ายบุคคลเพิ่งจะโทรมาบอกฉัน อาทิตย์หน้าฉันก็เริ่มงานได้ทันที” การะบุหนิงยืนยันกับเพื่อนเสียงระรื่นในขณะที่มิ่งโกมุทอดเป็นห่วงเสียไม่ได้จึงเอ่ยเตือน
“ยังไงแกก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน นายอคิราห์นี่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเยอะว่าเขาจับผิดคนเก่งมาก ไหนจะยัยคุณแองจี้นั่นอีก เขาลือกันว่าเป็นคนรักของนายอคิราห์ คุณเธอน่ะขี้หึงน่าดูเชียว”
“อย่างนี้สิดี มันจะยิ่งง่ายต่อการสร้างความร้าวฉานให้พวกมันทั้งคู่ยังไงล่ะ” ท้ายประโยค มิ่งโกมุทจับได้ถึงน้ำเสียงของความสาแก่ใจผสมผสานกับความเคียดแค้นชิงชังในแบบที่นักข่าวสาวเองก็ยังไม่คิดว่า คนที่มีจิตใจดีและอ่อนโยนอยู่เป็นนิจอย่างการะบุหนิงจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
แต่ก็อย่างว่า...ความเจ็บปวด ถ้าลองไม่มารับรู้เอง ก็คงจะไม่เข้าใจถึงรสชาติของมัน...ตอนนี้เธอก็คงทำได้แค่เพียงภาวนาขออย่าให้การะบุหนิงโดนไฟแค้นของตัวเองแผดเผาจนมอดไหม้เสียเอง
มิ่งโกมุทวางสายจากเพื่อนซี้แล้วก็พลอยให้วิตกกังวลเป็นห่วงไม่หายทั้งที่ก็พยายามทำใจว่ายัยแก้วตัดสินใจไปแล้วก็ตาม ความหงุดหงิดไม่สบายใจมันทำให้เธอไม่สามารถจะนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะได้จึงต้องออกมาจากห้องทำงานเพื่อชงกาแฟดื่มแก้เครียด
“หน้ามุ่ยเชียวนะมิ่ง มีอะไรหรือเปล่า งานมันหนักมากขนาดนั้นเชียวหรือ” เสียงห้าวล้อเลียนของเขื่อนขันธ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายข่าวอาชญากรรมของหนังสือพิมพ์ก้องฟ้าดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีเข้มจะก้าวเข้ามาในห้องครัวและยืนกอดอกพิงกำแพงมองคนตัวเล็กที่ยิ่งทำหน้าง้ำมากขึ้นไปอีก
“โอ๊ยพี่เขื่อน งานหนักน่ะมิ่งพอรับได้ แต่นี่ต้องมาหนักใจเพราะเป็นห่วงยัยแก้วน่ะสิ”
“แก้ว” เพียงแค่ชื่อของหญิงสาวที่ตนพึงใจ เขื่อนขันธ์ก็ยืดตัวตรงให้ความสนใจในทันที “เรื่องของพี่สาวที่ชื่อจันทร์กระจ่างฟ้านั่นหรือเปล่า”
ความที่เขื่อนขันธ์เรียนอยู่คณะเดียวกับมิ่งโกมุทซ้ำยังเป็นพี่รหัสของหญิงสาวบวกกับนิสัยใจคอที่มีอะไรคล้ายๆ กัน ทำให้คนทั้งคู่สนิทสนมกันมาก และก็พลอยทำให้ชายหนุ่มสนิทกับการะบุหนิงไปด้วย แต่ความสนิทที่ว่านั้นมันออกจะเกินเลยไปเสียหน่อยแต่ครั้นจะสารภาพออกไปใจก็ไม่กล้า ด้วยพอจะรู้อยู่ลึกๆ ว่าหญิงสาวไม่ได้คิดกับเขาเกินเลยมากไปกว่า ‘พี่ชาย’ และคงเพราะความสนิทสนมนี่กระมังทำให้เขาพอจะรู้เรื่องราวและความตั้งใจบางประการของการะบุหนิงไม่ต่างจากมิ่งโกมุท
“ตอนนี้คุณอคิราห์เขารับยัยแก้วเข้าทำงานไปเป็นเลขาของเขาแล้ว แต่จากนี้น่ะสิพี่ที่ฉันเป็นห่วง ถ้าเกิดเขารู้ว่ายัยแก้วมีจุดประสงค์อะไรล่ะก็...พี่ก็เคยได้ยินไม่ใช่หรือว่าคุณอคิราห์ถ้าเขาจะเล่นใคร เขาเล่นยับชนิดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” ก็จำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน บริษัทของอคิราห์ถูกวิศวกรคุมงานก่อสร้างโกงเงินไปเป็นสิบๆ ล้าน ครั้นพอถูกจับได้ ชายหนุ่มก็เล่นงานเสียยับเยินจนอีตาวิศวกรคนนั้นแทบจะหมดทางทำมาหากิน
แม้จะไม่สามารถทวงเงินคืนได้ครบทุกบาททุกสตางค์ที่ถูกโกง แต่ชายหนุ่มก็เรียกคืนด้วยการหยิบยื่นหายนะไปให้แก่คนที่คิดคดต่อเขา...แค่คิด มิ่งโกมุทยังสยองไม่หาย และคงเป็นไอ้ท่าทีขนลุกขนพองของหญิงสาวกระมังที่ทำให้เขื่อนขันธ์หลุดขำออกมาและว่า
“อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยน่า พี่เชื่อว่าแก้วจะต้องเอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว คุณอคิราห์จับไม่ได้ไล่ไม่ทันแก้วหรอก” พูดไป แต่เขื่อนขันธ์ก็รู้ดีว่ามันเหมือนจะเป็นการปลอบใจตัวเขาเองเสียมากกว่า ในเมื่อเขาก็ห่วงการะบุหนิงอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่ง