บทที่ 5
พิมพ์อัปสรรวบโปสการ์ดมากอดไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักพร้อมกับเอ่ยบอกคาร์ล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่ตัดสินใจได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นภาพของยิปซีแวนเนอร์
“แองจี้จะไปเมืองไทย”
“จะไปเมืองไทย? เมื่อไร จะไปยังไงคะ”
คาร์ล่าตะโกนถามเสียงหลงด้วยความตกใจกับการตัดสินใจแบบกระทันหันพลันด่วนของหญิงสาวแสนสวยที่กำลังยืนยิ้มหวานอยู่เบื้องหน้าเธอ
“ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะคาร์ล่า”
พิมพ์อัปสรเอื้อมมือไปบีบแก้มของเสริฟสาวพร้อมกับเอ่ยแซวยิ้มๆ เธอเดินตรงไปยังปฏิทินที่แปะติดไว้ข้างห้อง ดวงตาคู่สวยกลมโตดำสนิทมองวันที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือจิ้มแรงๆ ไปบนปฏิทิน จากนั้นก็หันมายิ้มหวานให้คาร์ล่า
“แองจี้จะเดินทางวันนี้”
คาร์ล่าเดินไปชะเง้อตามองวันที่ตามที่เจ้านายสาวแสนสวยเอ่ยบอก เมื่อเห็นวันเดินทางที่ถูกกำหนดขึ้นมาเธอก็ต้องร้องถามเสียงหลงขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องแองจี้จะเดินทางวันมะรืนนี้หรือคะ”
“ใช่ค่ะ พรุ่งนี้ค่าแรงออก แองจี้วานให้คาร์ล่าไปจองตั๋วเครื่องบินให้หน่อยนะคะ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา แต่คาร์ล่าถามหน่อย ทำไมคุณแองจี้ไม่รออีกสักเดือนสองเดือนค่อยไปเมืองไทยคะ”
“ไม่เอาคาร์ล่า แองจี้อยากไปเมืองไทยนานแล้ว อีกอย่างแอนนี่กำลังจะพักงานเพื่อพาแองจี้ไปเที่ยว เพราะฉะนั้นเองจี้ต้องรีบไปก่อนที่แอนนี่จะมีงานละคร งานเดินแบบเข้ามาจนล้นมือ”
พิมพ์อัปสรเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของคาร์ล่า วินาทีนี้ใครก็ห้ามเธอไม่อยู่ ยิ่งได้หยิบภาพของม้าพันธุ์ยิปซีแวนเนอร์มาดูอีกหนยิ่งกระตุ้นให้เธออยากเดินทางไปเมืองไทยเร็วๆ
คาร์ล่าถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ไม่คิดจะเอ่ยค้านอีกเมื่อได้เห็นดวงตาคู่สวยที่เต้นระริกแพรวพราวทุกคราที่พูดถึงเมืองไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอันแสนอบอุ่น
“เห็นคุณแองจี้พูดแบบนี้แล้วคาร์ล่าอยากไปเที่ยวเมืองไทยจังเลย ได้ยินเขาพูดว่าเป็นสยามเมืองยิ้มจริงมั้ยคะคุณแองจี้”
“ใช่ค่ะ สยาม...เป็นประเทศที่อบอุ่น...เต็มไปด้วยผู้คนที่มีเมตตา รักใคร่ปรองดองกันภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศชาติด้วยหลักทศพิธราชธรรม”
พิมพ์อัปสรยกมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะด้วยความซาบซึ้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของเธอรวมทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเกือบทั่วทั้งโลก ถึงแม้เธอจะมาอยู่ที่ประเทศอิตาลีนานหลายสิบปีแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยลืมว่าเธอเป็นคนไทยคนหนึ่ง
“สักวันนะคะคุณแองจี้ ถ้าหากคาร์ล่ามีโอกาส คาร์ล่าจะไปเที่ยวเมืองไทยให้ได้”
คาร์ล่ายิ้มหวานเอ่ยบอกถึงความตั้งใจของตน เธอเองก็อดที่จะตื่นเต้นไปกับหญิงสาวไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องราวอันแสนสงบสุขของเมืองไทย
พิมพ์อัปสรยิ้มบางๆ เอื้อมไปจับมือของคนที่เป็นทั้งลูกจ้างเป็นทั้งเพื่อนรักไว้
“เอาสิค่ะ ถ้าคาร์ล่าไปเที่ยวเมืองไทยเมื่อไร แองจี้จะบอกให้แอนนี่เป็นไกด์พาเที่ยวให้ทั่วเมืองไทย”
“เฮ้อ!...คาร์ล่าก็ได้แต่เพ้อฝันไปยังงั้นแหละค่ะ ไม่รู้ชาตินี้ทั้งชาติคาร์ล่าจะมีปัญญาหาเงินไปเที่ยวเมืองไทยเหมือนคนอื่นๆ ได้หรือเปล่า”
คาร์ล่าเอ่ยบอกเสียงเศร้าเมื่อนึกถึงความเป็นจริงว่าเธอเป็นแค่เด็กเสริฟในร้านอาหาร ฐานะทางบ้านก็อยู่ในระดับปานกลางไม่รวยและไม่จนเกินไป
“โธ่!...คาร์ล่า อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิค่ะ คนเราต้องอยู่อย่างมีความหวัง แองจี้เชื่อว่าสักวันหนึ่ง คาร์ล่าอาจจะมีเหตุให้ต้องเดินทางไปเมืองไทยก็ได้ใครจะไปรู้...จริงมั้ยคะ”
พิมพ์อัปสรยิ้มหวานเอ่ยให้กำลังใจเพื่อนรัก เธอจำได้ว่าตอนที่ย้ายมาอยู่อิตาลีใหม่ๆ เธอถูกเด็กเกเรข้างๆ บ้านแกล้งทุกวัน เด็กหญิงผมเปียในวัยห้าขวบเศษร้องไห้สะอึกสะอื้นอยากจะกลับเมืองไทย เด็กน้อยหวาดกลัวคนต่างบ้านต่างเมืองจนไม่ยอมออกจากบ้านไม่ยอมแตะต้องอาหารแม้แต่มื้อเดียว
แต่...เธอก็อยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้เพราะหวนคิดคำนึงถึงคำพูดของพ่อในวันที่ต้องจากกันไกลแสนไกล
‘จงอยู่อย่างมีความหวัง’
คาร์ล่ายิ้มหวานโอบกอดไปรอบตัวเจ้านายสาวเมื่อได้รับกำลังใจที่ดีจากอีกฝ่าย
“ขอบคุณคุณแองจี้มากค่ะ ที่อุตส่าห์ให้ความหวังกับคาร์ล่า เรื่องที่คุณแองจี้จะไปเมืองไทยเราต้องปิดเป็นความลับเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะ เราจะบอกใครไม่ได้โดยเฉพาะคุณแม่ ถ้าแม่รู้จะต้องห้ามไม่ให้แองจี้ไปเมืองไทยแน่นอน คาร์ล่าต้องปิดเป็นความลับนะคะ ถ้าหากเจอคุณแม่ซักมากๆ ก็บอกว่าแองจี้ไปค้างบ้านเพื่อนก็ได้ ถึงเมืองไทยเมื่อไรแองจี้จะโทรมาบอกคุณแม่เอง”
“แล้วคุณแองจี้จะโทรไปบอกคุณแอนนี่ก่อนมั้ยคะว่าจะเดินทางไปวันไหน”
พิมพ์อัปสรยิ้มบางๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตากลมโตดำขลับเต้นระริกแพรวพราว
“ไม่ค่ะ แองจี้จะทำให้แอนนี่เซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึงที่จู่ๆ ก็เห็นแองจี้ไปโผล่ที่เมืองไทย”
“แต่คาร์ล่าไม่เห็นด้วยนะคะ คุณแองจี้น่าจะโทรไปบอกคุณแอนนี่ก่อนหรือไม่ก็อีเมล์ไปบอกก็ยังดี”
คาร์ล่าเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงถึงแม้เมืองไทยจะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้านายสาวแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนดี คนไม่ดีมิจฉาชีพมีปะปนกับคนดีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
“เอาเถอะค่ะ เพื่อความสบายใจของคาร์ล่า แองจี้จะเมล์ไปบอกแอนนี่ก่อนที่จะเดินทาง” พิมพ์อัปสรยิ้มกว้างเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะรับคำกับเพื่อนสาว
“ถ้าคุณแองจี้รับปากแบบนี้คาร์ล่าก็ค่อยสบายใจหน่อย ถ้างั้นคาร์ล่าไปทำงานก่อนนะคะ หายมานานแล้วเดี๋ยวคุณอัปสราจะสงสัย”
“ไปเถอะค่ะ แองจี้ของอยู่คนเดียวสักพัก เดี๋ยวแองจี้จะออกไปช่วยหน้าร้าน”
พิมพ์อัปสรทำสีหน้าไม่สบายใจนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องโกหกมารดา แต่อีกใจหนึ่ง...เธอก็ไม่อยากสูญเสียโอกาสที่จะได้พบกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันมานาน นึกๆ แล้วก็ขำ สมัยเด็กๆ เธอเคยเล่นกับกระจกเงา โดยให้ภาพของตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาเป็นดังตัวของพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นสองสาวก็ถามสารทุกข์สุขดิบ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันฟังเป็นวรรคเป็นตอนหัวเราะสนุก
สนานอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่จริงแล้วคนที่พูดและหัวเราะอย่างสนุกสนานก็คือตัวเธอคนเดียวเท่านั้น
หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อหยิบโปสการ์ดขึ้นมาดูอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข
“อีกไม่กี่วันเราก็ได้เจอกันแล้วนะแอนนี่ที่รัก”