บทที่ 1 - ดั้นด้นมาก็เพื่อตามหา 1
มือเรียวยาวแตะลงที่จุดชีพจรของคนที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงของเขาด้วยความแผ่วเบา หมอหนุ่มเพิ่มแรงกดที่ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางเพื่อสัมผัสถึงการเต้นของชีพจร สายตาก็มองจ้องไปยังคนที่กำลังหมดสติด้วยความครุ่นคิด
เขามาถึงที่นี่ทำไมกัน...
เป็นเรื่องน่าขันเหลือเกิน ที่เขาต้องมาช่วยชีวิตบุรุษผู้นี้ไว้ถึงสองครั้งสองคราว ซึ่งสาเหตุก็ล้วนแล้วแต่มาจากเจ้าตัวทำตัวเองทั้งสิ้น
คราวก่อนก็สายตาฝ้าฟางจนเกือบกลายเป็นคนตาบอดเพราะถูกพิษ มาคราวนี้ก็เกือบจะกลายเป็นคนพิการ เพราะร่างกายทุกส่วนล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล คาดว่าน่าจะถูกสัตว์ป่าทำร้าย เผลอๆ อาจจะเป็นสัตว์อสูรเสียด้วยซ้ำ
“ไยเจ้าจึงโง่งมถึงเพียงนี้” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยเบาๆ
ใจจริงเขาก็อยากจะบ่นคนป่วยอีกหลายคำ แต่ดูสภาพร่างกายที่น่าเวทนาของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ตัดสินใจไม่คิดบ่น ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้มีจุดประสงค์อันใดกันแน่ จึงได้ดั้นด้นเดินทางข้ามป่าข้ามเขามาเพื่อตามหาเขาเช่นนี้
ก่อนจากบ้านเมื่อห้าปีก่อน ซ่งหานหลิ่งได้สั่งความพี่ชาย น้องชายและมารดาเอาไว้แล้ว ว่าไม่ว่าเขาจะหายหน้าไปสักกี่สิบปี ทุกคนก็ไม่ต้องเดือดร้อนตามหา โดยเขาเองได้ให้เหตุผลกับทุกคนว่าต้องการท่องไปในยุทธภพ เพื่อที่จะได้เห็นสรรพสิ่งในใต้หล้าให้มากขึ้น
ดังนั้นตลอดห้าปีที่ผ่านมา ซ่งหานหลิ่งจึงมีชีวิตอยู่ในป่าแห่งนี้ได้อย่างสงบสุข และไร้ความกังวลใจใดๆ เกี่ยวกับครอบครัวที่แคว้นหนานไห่ เขาเชื่อว่าพี่ชายและน้องชาย จะสามารถดูแลทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดีโดยที่ไม่มีเขา
ทว่าในรอบห้าปี กลับมีคนคนหนึ่งดั้นด้นมาจนถึงที่ที่เขาอยู่ หากไม่มีจุดประสงค์และความตั้งใจอันแรงกล้า มีหรือที่คนคนหนึ่งจะสามารถเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นกับปากเสือปากสิง และอันตรายนานาสารพัดได้ถึงขนาดนี้
“อาหลิ่ง...อาหลิ่ง”
สองคิ้วของคนที่ถูกเรียกชื่อขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง คนผู้นี้แม้กระทั่งยามไม่ได้สติยังละเมอเพ้อพกเป็นชื่อเขาเช่นนั้นหรือ?
“อาหลิ่ง...อาหลิ่ง”
คนบนเตียงยังส่งเสียงครวญครางต่อ ซ่งหานหลิ่งจึงเดินกลับเข้าไปหา พร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่งไปให้คนละเมอ ที่กำลังไขว่คว้าหาอากาศอยู่ได้จับเอาไว้
“อาหลิ่ง” คนละเมอเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะหลับลึกลงไปอีกครั้ง
หมอหนุ่มที่ยามนี้ถูกคนป่วยยึดมือข้างหนึ่งไปกอดไว้ ได้แต่ถอนหายใจปลงๆ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเหตุใด เหอเจ่อฮั่นรอดพ้นจากเขี้ยวคมของสัตว์ป่าดุร้ายมาจนพบกับเขาได้
“เห็นแก่ที่เจ้าไม่สบาย ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาก็แล้วกัน”
พูดจบร่างสูงก็นั่งลงข้างเตียง ก่อนจะฟุบหน้าลงแล้วหลับตา โดยไม่ทันได้เห็นเลยว่าคนที่ชายหนุ่มเข้าใจว่ากำลังหมดสติเพราะพิษไข้อยู่นั้น กำลังลอบยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ทั้งยังจ้องมองหมอเทวดาหนุ่มตาแป๋วอีกต่างหาก
อาหลิ่ง...ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็หนีข้าไม่พ้น!
เสียงนกการ้องประสานเสียงต้อนรับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า เมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า
ซ่งหานหลิ่งรู้สึกตัวตื่นลืมตา เมื่อตอนเสียงนกเสียงกาลอยมาเข้าหู ชายหนุ่มค่อยๆ ดึงมือที่ถูกคนป่วยพันธนาการอยู่ออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะลุกเดินออกไปยังด้านนอกด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
แม้จะอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทว่าเรือนไม้ไผ่หลังน้อยของท่านหมอหนุ่มก็มีเครื่องครัวเพียบพร้อมครบครัน ด้วยเพราะก่อนออกเดินทาง อาจิ้งสาวใช้คนสนิทของผู้เป็นน้องสาวของเขา ได้จัดเตรียมสิ่งของพวกนี้ไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ
อาจิ้งจัดหาสิ่งของที่คิดว่าเขาจำเป็นต้องใช้ใส่ลงในแหวนมิติ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่านางไปได้แหวนมิติมาจากไหน ทว่าตัวเขาก็รับเอามาสวมใส่ที่นิ้วกลางข้างซ้ายไว้ด้วยความเต็มใจ และเข้าใจว่าอาจิ้งเองก็ต้องการทำตามหน้าที่ หน้าที่ที่ผู้เป็นน้องสาวเขามอบหมายให้นางผ่านจดหมายฉบับหนึ่ง ก่อนที่ตนเองจะตายจากไป
ซ่งหานหลิ่งจัดการต้มข้าว ก่อนจะเดินออกไปที่ลานหลังบ้านพร้อมกับมีดทำครัวเล่มเล็ก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในแหวนมิติที่อาจิ้งให้มา จะมีสิ่งของจำพวกเมล็ดพันธุ์พืชผักหรือแม้แต่เมล็ดพันธุ์ข้าวอยู่ด้วย
ห้าปีที่ผ่านมาซ่งหานหลิ่งจึงสามารถปลูกผักปลูกข้าวกินได้เอง โดยไม่กลายเป็นคนขาดสารอาหารตายไปเสียก่อน
ชายหนุ่มตัดกวางตุ้งต้นกำลังพอดีออกมาจากแปลงผักประมาณสามต้น ก่อนจะยื่นมือไปหยอกล้อกับกวางตุ้งแก่อีกต้นที่อยู่ข้างๆ กัน ราวกับว่ากวางตุ้งแก่ที่ออกดอกสีเหลืองนั้นเป็นสาวงามก็มิปาน