บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 คือเพื่อน 1.4

วันรุ่งขึ้น

ตะวันเคลื่อนรถเข้ามายังซอยบ้านของหทัยชนกก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย พอขับรถไปถึงหน้าบ้านของหญิงสาวที่ตนจะมารับก็พบว่าเธอมายืนรอหน้าประตูบ้าน เขาจึงจอดรถเทียบตรงจุดที่หทัยชนกยืนอยู่

“มายืนรอนานหรือยัง?” ตะวันเอ่ยถามหทัยชนกหลังจากที่เธอสอดตัวเข้ามานั่งในรถ

“ไม่นานหรอก แป๊บเดียวเอง” เธอหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย

“เมื่อสายๆ ตะวันโทรไปบอกเกตุว่าจะไปรับรุ้ง เกตุก็เลยบอกว่าให้ไปเจอกันที่ห้างเลย จะได้ไม่ต้องเทียวไปรับเกตุที่บ้าน” ตะวันเอ่ยบอกหญิงสาวที่นั่งมาในรถด้วย ทำความเข้าใจให้เธอได้รับรู้

“เกตุโทรมาบอกรุ้งเมื่อตอนเที่ยงแล้ว รุ้งก็ว่าดีเหมือนกันจะตะวันจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” หทัยชนกเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนตัวอ้วน

“ตะวันยอมเสียเวลาเพื่อมารับรุ้งนะ ไปรับไปส่งได้ไม่ว่าจะไกลมากแค่ไหน ขอเพียงผู้หญิงคนนั้นคือรุ้ง” เขาหันมาพูดกับสตรีที่นั่งอยู่เบาะด้านข้าง ดวงตาคมเข้มคู่นั้นจริงจังเสียจนใจสาวหวั่นไหว เต้นโครมคราม

แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้สาวเจ้าหน้าแดงระเรื่อกับความหมายที่ไม่ต้องแปล เธอกำลังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่า ตะวันต้องการจะจีบเธอ อาการเขินอายจึงเกิดขึ้น เลือดแห่งความอายประดับบนดวงหน้าสวย ลักยิ้มขึ้นตรงกลางแก้มเมื่อเจ้าของอมยิ้ม

ภาพดวงหน้าน่ารักน่ามองของหทัยชนกเวลานี้ ชวนพิสมัยยิ่งนัก ยิ่งมองยิ่งเพลิน ยิ่งทำให้หัวใจของตะวันกระตุกแรงมากขึ้น

“เดี๋ยวรุ้งก็ต้องขึ้นไปเชียงใหม่ ตะวันคงไม่ต้องเสียเวลาไปรับไปส่งรุ้งแล้วล่ะ”

“รุ้งไปเชียงใหม่ตะวันก็ขับรถไปรับไปส่งรุ้งได้ ตอนที่รุ้งมากรุงเทพฯ ระยะทางมันไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคของตะวันเลย ปัญหาของตะวันก็คือ รุ้งจะยอมให้ตะวันทำอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ายอมตะวันจะดีใจมาก แต่ถ้าไม่ยอมตะวันจะเสียใจเป็นที่สุด”

น้ำเสียงที่ดูจริงจังระคนน่าสงสารของตะวัน ทำให้คนที่ได้ฟังเกิดความขวยเขินอย่างหนัก หน้าแดงก่ำ มือเย็นเฉียบ ก้มหน้างุดหนีความเขินอาย

ตะวันขับรถมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่นัดหมายกันไว้ทันที ระหว่างทางนั้นฝ่ายชายก็สรรหาเรื่องมาพูดคุย รวมทั้งเรื่องขำขันมาเล่าสู่ให้ฝ่ายหญิงได้หัวเราะ และอมยิ้มกับมุกเสี่ยวๆ ที่ตะวันจะสื่อให้หทัยชนกได้รู้ว่า เขากำลังจะจีบเธอ

แต่น่าแปลกที่ว่า เมื่อเธอรู้ว่าอีกฝ่ายคิดกับเธอเกินคำว่าเพื่อน แทนที่ตนเองจะปิดกั้นตัวเองเหมือนทุกครั้งที่มีผู้ชายมาติดพัน โดยการไม่พูดคุย เธอจะใช้ความนิ่งเป็นเกราะกำบัง การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เธอกลับพูดคุย หัวเราะ โต้ตอบกับตะวันได้มากกว่าชายคนอื่น อีกทั้งไม่มีชายคนไหนเลยที่จะทำให้หัวใจดวงนี้เต้นแรงได้เท่ากับผู้ชายที่ชื่อตะวัน คำพูดบ้านๆ แต่กลั่นออกมาจากใจ ส่งผลให้ประตูที่ปิดเริ่มแง้มทีละนิดโดยไม่รูตัว หรืออาจะเป็นเพราะดวงตาดำขลับคู่นั้นที่ประสบในครั้งแรกที่เจอ มันทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว แล้วตราตรึงอยู่ในหัวใจในฉับพลัน

อีกราวหนึ่งชั่วโมงเศษทั้งสองก็เดินทางมาถึงจุดนัดพบ พอไปถึงก็พบว่าอัญญาณีได้นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว

“มาช้านะไอ้ตะวัน” อัญญาณีเปิดฉากพูดทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน

“รถมันติดน่ะ รีบสุดๆ แล้วนะเนี่ย” ตะวันไม่ได้แก้ตัว พูดตามความจิรง

“รถมันติดจริงๆ เกตุ ตะวันก็รีบสุดๆ แล้วนะ” หทัยชนกพูดเสริม

“ไปซื้อของกันดีกว่า ซื้อเสร็จเดี๋ยวค่อยมากินข้าว วันนี้ตะวันมันเลี้ยงถล่มมันให้ตัวแบนเลย โทษฐานที่มาช้า” คนตัวอ้วนบอกชายร่างสูง

“สำหรับเกตุถล่มมาเลยเลี้ยงได้อยู่แล้ว แต่สำหรับรุ้ง ตะวันจะเลี้ยงข้าวไปตลอดชีวิตเลย”

ตะวันรุกคืบทันที สาวร่างสวยยิ้มเขิน หน้าแดงเถือก หยิกแขนอัญญาณีเบาๆ แก้เขิน

“ไปกันได้แล้ว อยู่ตรงนี้นานๆ แขนฉันเขียวแน่ๆ”

คนที่ถูกหยิกเปิดปากพูดพลางลูบแขนข้างที่โดนหยิก ก่อนที่ทั้งสามจะเดินไปยังร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของที่ตนเองต้องการ แน่นอนที่คนถือของก็คือตะวันที่เดินตามสองสาวต้อยๆ ประไหนึ่งคนรับใช้...ตำแหน่งที่เขาเต็มใจทำที่สุด

หลังจากที่สองสาวและหนึ่งหนุ่มเลือกซื้อของที่ส่วนใหญ่จะเป็นของหทัยชนกร่วมสามชั่วโมง ความหิวก็มาเยือนกระเพาะของคนทั้งสาม ฉะนั้นสถานที่ต่อไปที่ทุกคนพร้อมใจกันไปก็คือ...ร้านอาหาร

“รุ้งกินเยอะๆ นะ อาหารพอหรือเปล่าถ้าไม่พอเดี๋ยวตะวันสั่งมาเพิ่ม”

ตะวันเอาอกเอาใจหทัยชนกเต็มที่ เธอไม่ต้องทำอะไรนอกจากทานอย่างเดียว เพราะมีตะวันคอยตักอาหารใส่จานให้อย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งแทบจะป้อนให้เลยก็ว่าได้ นำพาความหมั่นไส้มาให้กับอีกคนหนึ่งที่ตะวันแทบจะไม่รู้สึกว่านั่งอยู่ด้วย

“ไอ้ตะวัน ฉันก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ไม่เห็นแกตักกับข้าวให้ฉันเลย ตักให้แต่รุ้ง ดูสิว่าจานข้าวของรุ้งมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้ว เห็นแต่กับข้าวที่แกตักให้”

“เกตุอยากกินอะไรก็ตักกินสิ มีมือไม่ใช่เหรอ?” คำพูดของตะวันยิ่งทำให้อัญญาณีหมั่นไส้เพื่อนชายมากขึ้น

“รุ้งก็มีมือ รุ้งตักเองก็ได้ไม่เห็นต้องให้แกตักให้เลย”

“น่านะ ขอไว้สักคน กินต่อเถอะกับข้าวอร่อยๆ ทั้งนั้น”

ตะวันตัดบทก่อนจะหันไปเอาอกเอาใจสาวที่ตนเองหมายปองอยู่ ปล่อยให้สาวอ้วนนั่งค้อนขวับ ตักอาหารใส่ปากประชดเพื่อน หทัยชนกเห็นหน้างอๆ ของอัญญาณีแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

“รุ้งจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่?” อัญญาณีถามขึ้นหลังจากเขี้ยวอาหารในปากกลืนลงคอ

“มะรืนนี้” สาวรอยยิ้มสวยเอ่ยตอบ ตะวันได้ยินคำถามนี้แล้วใจหล่นวูบทันที เขามีเวลาเห็นหน้าเธออีกแค่สองวันหรือนี่ ทำไมมันน้อยอย่างนี้นะ ยังไม่ทันที่เธอจะรับขนมจีบเขา ก็ต้องห่างกันเสียแล้ว

“ทำไมเร็วจังล่ะ น่าจะอยู่เที่ยวที่กรุงเทพฯ ต่ออีกสักอาทิตย์นึง” ตะวันรีบพูด

“ไอ้ตะวัน รุ้งเป็นคนกรุงเทพฯ ย่ะ เที่ยวเมืองหลวงจนจะผุอยู่แล้ว” อัญญาณีพูดใส่หน้าคนที่เธอหมั่นไส้มานาน

“รุ้งต้องไปดูแลร้านทองน่ะ ถ้าเผื่อเฮียเดชกลับมาจากเมืองนอก รุ้งก็จะกลับมาอยู่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม”

เฮียเดช ในที่นี่หมายถึงลูกพี่ลูกน้องของหทัยชนกที่เดินทางไปทำธุระต่างประเทศ ราวเดือนหน้าถึงจะกลับเมืองไทย พอถึงตอนนั้นสาวแสนดีก็จะกลับมาดูร้านทองที่เยาราช

“แล้วรุ้งจะกลับยังไงล่ะ เครื่องบินหรือว่ารถทัวร์?” อัญญาณีถาม

“ว่าจะไปรถทัวร์” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ

“ผู้หญิงนั่งรถทัวร์คนเดียวมันอันตรายนะ” ตะวันพูดขึ้น

“ทำไม? ที่พูดมาเนี่ยจะนั่งไปส่งรุ้งที่เชียงใหม่หรือไง?” เสียงของเพื่อนตัวกลมเอ่ยขึ้น

“ไม่หรอกไม่นั่งไปส่งรุ้งที่เชียงใหม่หรอก แต่จะขับรถไปส่งรุ้งต่างหาก”

สองสาวต่างมองหน้ากันและมีอาการตกใจบนสีหน้าเหมือนกันอีกด้วย ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของตะวัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel