บทที่ 6 คือเพื่อน 1.5
“อะไรนะ แกจะขับรถไปส่งรุ้งที่เชียงใหม่เหรอตะวัน?”
อัญญาณีย้ำถามเพื่อนราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คนที่รอฟังคำตอบไม่ใช่มีเพียงคนที่ถามเท่านั้น ยังมีหทัยชนกอีกคนที่ใจเต้นตุ้บๆ ไม่เป็นจังหวะ นึกว่าตนเองหูฟาดกับถ้อยคำของชายหนุ่มเอาใจเก่งตรงหน้า
“จริงสิ ไม่ได้พูดเล่น รุ้งนั่งรถไปเชียงใหม่คนเดียวมีนอันตราย เรามองไม่เห็นนะว่าวินาทีข้างหน้าจะเป็นยังไง คนขับรถจะหลับในหรือเปล่า ตะวันไปส่งน่ะดีแล้ว ไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ถึงที่ปลอดภัย” ตะวันพูดเสียงจริงจัง ตั้งมั่นกับคำพูดและความตั้งใจของตนเอง
“รถทัวร์มันมีวิ่งตอนเช้าถึงเย็นย่ะ แล้วมันก็มีค่าเหมือนกันน่ะแหละ จะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าแกไปส่งรุ้ง แล้วรุ้งจะปลอดภัย แกเห็นวินาทีต่อไปหรือไง?” อัญญาณีย้อนถามเพื่อน
“ไม่เห็นหรอก แต่ตะวันมั่นใจว่าจะส่งรุ้งไปถึงบ้านที่เชียงใหม่อย่างปลอดภัย ตะวันขับรถขึ้นเหนือล่องใต้มาเยอะแล้ว แค่นี้สบายมาก”
คนที่พูดยังเปล่งเสียงจริงจังให้สองสาวได้รับฟังต่อไป อัญญาณีรู้ดีว่าตะวันเร่งทำคะแนนในการจีบหทัยชนก แต่ไม่คาดว่าจะรุกหนักถึงขนาดนี้ ดูท่าทางของเพื่อนชายแล้วจะจิรงจังมาเหลือเกิน
หทัยชนกทั้งอึ้งทั้งทึ่ง เธอไม่เคยเจอการจีบที่รุกคืบอย่างนี้มาก่อน ทำเอาใจสาวสั่นระรัว หลายครั้งที่เธอเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ และหลายครั้งที่ชายหลายคนที่ตามจีบเธอรู้เรื่องนี้ แต่ไม่มีใครอาสาไปส่งเธอถึงเมืองเหนือเลยสักคน อย่างมากก็ส่งแค่สนามบินหรือไม่ก็ท่ารถทัวร์ ความรู้สึกดีดีจึงก่อเกิดเพิ่มมากขึ้น
“แล้วถ้าฉันจะไปเชียงราย ไปยะลา ไปขอนแก่น แกจะไปส่งฉันมั้ยไอ้ตะวัน?” สาวอ้วนถามประชด หมั่นไส้ความเป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลกของเพื่อนสนิทเพิ่มมากขึ้น
“ทำอย่างกับว่าพี่ชาติเขาจะให้เกตุไปอย่างนั้นแหละ พี่ชาติให้ไปก่อนเถอะแล้วตะวันจะไปส่ง แต่คิดว่าคงไม่ได้ไปหรอก ห่วงซะขนาดนั้น” ตะวันตอบด้วยรอยยิ้ม สาวอ้วนจึงถลึงตาใส่ที่อีกฝ่ายรู้เท่าทัน
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกตะวัน รุ้งไปเองก็ได้ ตั้งแต่นั่งรถทัวร์มาก็ไม่มีปัญหาอะไร?”
หทัยชนกค้านขึ้นมา เธอไม่ต้องการให้ใครมาเสียเวลาไปส่งเธอถึงเชียงใหม่ เพราะเขาคนนั้นต้องขับรถกลับกรุงเทพฯ ตามลำพัง แน่นอนเธอก็ต้องเป็นกังวลและเป็นห่วงคนที่เดินทางมาส่ง
“รุ้งไม่ต้องเกรงใจตะวันหรอกนะ บอกแล้วไงว่าตะวันเต็มใจทำเพื่อรุ้ง นะให้ตะวันไปส่งรุ้งนะ อย่าให้ความตั้งใจของตะวันเป็นหมันเลยนะรุ้ง นะรุ้งนะ ให้ตะวันไปส่งรุ้งที่เชียงใหม่นะ”
ตะวันตื้อสุดชีวิต เว้าวอนเจ้าของรอยยิ้มสวยที่เขาหมายปอง หนำซ้ำยังส่งสายตาเว้าวอนให้อีกด้วย หทัยชนกได้ยินถ้อยคำและได้เห็นสีหน้าของตะวันแล้วใจอ่อนยวบ ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี จึงหันมามองเพื่อนตัวอ้วนที่นั่งกินข้าวตุ้ยๆ
“ตามใจรุ้ง เกตุไม่ยุ่ง รุ้งตัดสินใจเองเลย แต่ถ้าถามว่าไว้ใจมันได้หรือเปล่า ตอบตรงนี้เลยว่าได้” อัญญาณีทันทีที่เห็นสายตาเชิงปรึกษาของเพื่อนสาว
“เอ่อ...คือว่า” หทัยชนกยังอ้ำอึ้งต่อไป ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าไว้ใจตะวันได้หรือไม่ได้ มันขึ้นอยู่ที่ว่าความต้องการให้เขาไปส่งกับไม่ต้องการมันเท่าเทียมกัน ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
“นะรุ้งนะ ให้ตะวันไปส่งรุ้งที่เชียงใหม่นะ” ตะวันอ้อนต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตัดสินใจไม่ถูก
“รุ้งเกรงใจตะวันน่ะ มันไกลนะไม่ใช่ใกล้ๆ” เธอกล่าวอย่างเกรงใจ
“ไกลที่ไหนแค่เชียงใหม่เอง นะรุ้งนะให้ตะวันไปส่งนะ”
“แต่ว่า...” เธอก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ไม่ต้องการให้ใครมายุ่งยากกับการเดินทางกลับของตนเอง อยากจะค้านแต่พอเห็นหน้าและสายตาของตะวันแล้วเธอถึงกับพูดไม่ออก
“นะรุ้งนะ ให้ตะวันไปส่งนะ” หนุ่มจอมตื้อก็ยังคงตื้อต่อไป
“ก็ได้ รุ้งให้ตะวันไปส่งก็ได้”
ในที่สุดเธอก็ต้องเอ่ยปากยอมให้ตะวันไปส่ง ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ อาจเป็นเพราะดวงตาขอร้องคู่นั้นที่ส่งมาให้เธอ มันมีอิทธิพลอย่างล้นเหลือที่ทำให้เธอยอมเปิดปากตอบตกลง
ตะวันยิ้มแก้มแทบฉีกเมื่อได้ยินคำตอบที่น่ายินดี หัวใจของเขาอิ่มเอิบขึ้นมาทันทีทันใดหลังจากที่ลุ้นอยู่หลายนาทีว่า เธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ
“แล้วรุ้งจะไปกี่โมงล่ะ ขอเป็นสี่โมงเย็นได้มั้ย ตะวันขอเคียร์งานก่อน” ตะวันเอ่ยถามคนที่เขาจะขับรถไปส่ง
“ได้จ้ะ เพราะรุ้งก็กลับรถเที่ยวเย็นอยู่แล้ว”
“โอเคงั้นตกลงตามนี้ สี่โมงเย็นวันมะรืน ตะวันจะไปรับรุ้งที่บ้านนะ”
“จ้ะ” หทัยชนกรับคำ
“ถ้าตกลงกันได้แล้วก็กินข้าวต่อ ต้มยำ ต้มจืดจะชืดหมดแล้ว”
คนที่ไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เปิดปากพูด เมื่อเห็นว่าทั้งสองตกลงและนัดหมายการเดินทางเสร็จเรียบร้อย
อีกประมาณสามสิบนาทีการรับประทานอาหารจึงแล้วเสร็จ ทั้งสามชีวิตเดินออกมาจากร้านอาหาร สองสาวรีบตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที โดยมีหนุ่มชื่อตะวันยืนถือของรอข้างนอก
“รู้หรือเปล่าว่าตะวันมันจีบรุ้งอยู่?” อัญญาณีถามขึ้น หลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย และเป็นครั้งแรกในรอบวันที่อยู่กันตามลำพัง
“รู้” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ หน้าแดงนิดๆ
“รู้แล้วจะให้รับซื้อขนมจีบมันหรือเปล่า?” สาวตัวอ้วนถามต่อไป
“ไม่รู้” คนที่ตอบยังคงความเขินอายได้เป็นอย่างดี
“ไม่รู้แน่เหรอ ไม่รู้แล้วทำไมให้ตะวันขับรถไปส่งล่ะ หรือว่าเกรงใจเกตุ?”
“ก็ตอนนี้ไม่รู้ไง แล้วก็ไม่ได้เกรงใจเกตุด้วย” หทัยชนกตอบเพื่อนตัวอ้วนไม่เต็มเสียงนัก อีกข้อเธอเองก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย
“รุ้ง เกตุอยากจะบอกว่า ตะวันมันก็นิสัยโอเคนะ ตั้งแต่คบกันมามันก็จีบผู้หญิงมาเยอะ แต่ไม่มีใครที่มันจะทุ่มทุนสร้างขนาดขับรถไปส่งถึงเชียงใหม่เลยสักคน อย่างมากก็แค่ไปส่งที่บ้านเท่านั้น เกตุอยากจะให้รุ้งพิจารณามันซักหน่อย ถ้าใจรุ้งตอบว่าไม่ก็คือไม่ บอกมันไปตรงๆ ตะวันจะได้รู้ตัว ไม่มาวอแวกับรุ้งอีก ไม่ต้องห่วงว่าเกตุจะเคืองที่ทำตะวันอกหัก เพราะมันคนละเรื่องกัน ความรักมันบังคับกันไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่ที่รุ้งนะ ถ้าคิดว่าไม่ก็บอกมันไปว่าอย่ามายุ่ง รุ้งไม่คิดกับตะวันเกินกว่าคำว่าเพื่อน ถ้าหากใจของรุ้งตอบว่าใช่ก็ลองเปิดใจรับตะวัน แค่นี้เอง”
อัญญาณีหันมาพูดกับเพื่อนด้วยท่าทางจริงจัง เธอไม่ต้องการให้หทัยชนกให้ความหวังกับตะวันมากเกินไป ชี้ชัดไปเลยว่าต้องการรับซื้อขนมจีบจากอีกฝ่ายหรือไม่ ถ้าไม่ซื้อก็บอกไปตรงๆ ทุกอย่างมันจะได้จบ ตะวันก็จะได้รู้ตัวเองว่า สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นจะเป็นผลสำเร็จหรือไม่
“ตอนนี้รุ้งยังไม่รู้ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน” หทัยชนกตอบตามความรู้สึกของตนเอง
“แล้วรู้สึกยังไงกับตะวันล่ะ เกตุหมายถึงตอนนี้น่ะ?”
“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก บอกได้แค่เพียงว่า เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่มาจีบรุ้ง ใจมันสั่นๆ หวิวๆ ตอนที่ตะวันพูดหยอกล้อหรือว่าพูดเชิงจีบ ซึ่งรุ้งเองก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนไหน รุ้งตอบเกตุได้เท่านี้แหละ”
หทัยชนกที่พร้อมจะเปิดใจกับอัญญาณีได้ในทุกเรื่องบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้กับเพื่อนสนิทได้รับฟัง ตอนนี้ประตูหัวใจของเธอเปิดแง้มทีละนิด เพียงแค่ว่ายังเปิดไม่มากพอที่หทัยชนกจะรู้หัวใจของตัวเอง ทว่าอีกไม่นานเธอก็คงจะรู้คำตอบที่เด่นชัด
คำตอบของเพื่อนสนิททำให้อัญญาณีรู้ว่า เพื่อนสาวของตนเริ่มมีใจให้กับตะวัน แต่ยังไม่รู้หัวใจของตัวเองเท่านั้น ตามประสาคนที่ไม่เคยมีความรัก สักวันหนึ่งที่เธอคิดว่าไม่นาน หทัยชนกจะได้รู้คำตอบของหัวใจ
“เกตุว่าสักวันรุ้งจะหาคำตอบของหัวใจได้ แล้ววันนั้นรุ้งค่อยตอบเกตุก็แล้วกันนะ เราออกไปจากห้องน้ำกันดีกว่าป่านนี้ตะวันมันยืนถือของนิ้วหักแล้วมั้ง”
อัญญาณีพูดตัดบท เธอไม่ต้องการเร่งรัดหทัยชนกมากเกินไป ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิตของแต่ละคน เช่นเดียวกับหัวใจที่ไม่อาจบังคับใครได้