บทที่ 4 คือเพื่อน 1.3
ภายในรถยนต์ของตะวันเป็นไปด้วยความเงียบตลอดการเดินทาง ฝ่ายชายมองไปยังถนนเบื้องหน้าสลับกับมองเสี้ยวหน้าของสตรีที่นั่งเบาะข้างๆ ฝ่ายหญิงเองก็เกิดอาการประหม่าในจิตใจ สายตาไม่วอกแวกไปจากถนนข้างหน้า ไม่หันมามองหรือพูดคุยกับบุรุษที่ทำหน้าที่สารถี
“บ้านรุ้งทำอะไรที่เยาวราช?” คำถามแรกของตะวันดังขึ้น ทำลายความเงียบที่ปกคลุมมานานหลายนาที
“บ้านรุ้งทำร้านทอง” หทัยชนกหันมาตอบคนที่ถาม
“บ้านของตะวันที่สุราษฎร์ฯ ทำรีสอร์ทกับไม้แปรรูปส่งออก แต่ถ้าบ้านที่กรุงเทพทำคาร์แคร์” ตะวันไม่รอให้เธอถาม เป็นฝ่ายบอกหญิงสาวให้รับรู้แทน
“อ๋อ” เธอทำเสียงรับรู้
“ตะวันได้ยินแต่ชื่อของรุ้ง เพิ่งได้รู้จักตัวจริงวันนี้” เขาเริ่มชวนคุย
“รุ้งก็รู้จักตะวันแค่ชื่อเหมือนกัน เกตุเคยพูดให้ฟังบ่อยๆ” อาการเกร็ง ประหม่าเริ่มคลายตัวออก หทัยชนกก็เริ่มพูดคุยกับตะวัน
“พูดให้ฟังว่าไง ดีหรือไม่ดี?” เขาถามต่อ
“ก็ไม่ได้คุยอะไรมาก ส่วนใหญ่จะพูดว่า ตะวันมันโทรมาขอคุยกับมันก่อน หรือไม่ก็บอกว่าต้องรีบกลับบ้านตะวันมันมาหา เกตุพูดถึงประมาณนี้แหละ” หทัยชนกลอกคำพูดของเพื่อนตัวอ้วน ถ่ายทอดให้คนที่ถามได้รับรู้
“เกตุก็พูดถึงรุ้งประมาณนี้เหมือนกัน”
“ตะวันเป็นเพื่อนเกตุมานานแล้วเหรอ?” หทัยชนกถามต่อ
“สิบเจ็ดปีแล้ว”
“พอๆ กับรุ้งเลย แต่รุ้งก็รู้จักเพื่อนเกตุเกือบทุกคนนะ ยกเว้นตะวันนี่แหละ”
“ตะวันอยู่ที่สุราษฎร์ฯ เป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ขึ้นมากรุงเทพฯ เราก็เลยไม่ได้เจอกัน แต่ช่วงหลังๆ ตะวันอยู่กรุงเทพฯ มากกว่าเพราะต้องมาดูแลเรื่องคาร์แคร์ที่เพิ่งเปิดใหม่”
“แล้วคาร์แคร์ของตะวันอยู่ที่ไหนล่ะ เผื่อรุ้งผ่านไปจะแวะไปใช้บริการ”
“อยู่แถวๆ เหม่งจ๋าย”
“ถ้าผ่านไปแถวนั้น รุ้งจะเอารถไปล้างที่ร้านของตะวันนะ”
“ได้สิ บริการฟรีไม่คิดเงิน ล้างรถให้ฟรีตลอดชีวิตด้วย” ตะวันพูดจากใจ
“ไม่เอาหรอก รุ้งไปใช้บริการก็ต้องจ่ายเงินสิ”
“ก็ตะวันอยากล้างรถให้รุ้งฟรีๆ นี่ แล้วยังตั้งใจจะล้างรถให้ตลอดชีวิตอย่างที่พูดด้วย”
ตะวันยังย้ำคำพูดและความคิดเดิม
“งั้นรุ้งจ่ายให้ครึ่งหนึ่งก็แล้วกันนะ แฟร์ดี” เธอเองก็ไม่ยอมเอาเปรียบใคร แม้ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจก็ตาม
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ช่วงนี้ครึ่งราคาไปก่อน แล้วต่อไปค่อยล้างรถให้ตลอดชีวิต”
ตะวันไม่อยากรุกสาวน่ารักที่หน้าแดงระเรื่อมากนัก ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแต่เห็นผลน่าจะดีกว่า หากรุกมากไปกว่านี้ บางทีเธออาจจะปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมให้เขาเข้าไปนั่งในหัวใจ
ทั้งสองเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยๆ จากเรื่องนั้นเป็นเรื่องนี้ มีเสียงหัวเราะเบาๆ ไหลผ่านจากลำคอสาวยามที่ตะวันพูดเรื่องขำขันให้ได้รับฟัง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอนั้น มีอิทธิพลกับตะวันมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองภาพนั้นครั้งใด เขารู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาด ไม่เบื่อหน่ายต้องการฟังเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและมองดูรอยยิ้มละไมของเธอไปตลอดชีวิต
“จอดตรงนี้แหละตะวัน” หทัยชนกเอ่ยบอกสารถีหนุ่ม “ขอบใจตะวันมากนะที่มาส่งรุ้ง” เจ้าของรอยยิ้มสวยกล่าวคำขอบคุณเมื่อรถยนต์ของเขาจอดนิ่งที่หน้าบ้านของเธอ
“ไม่เป็นไร ตะวันเต็มใจ” ตะวันตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“รุ้งไปก่อนนะ” เธอหันมาบอกคนขับรถหนุ่มอีกครั้ง
“พรุ่งนี้รุ้งจะไปหาเกตุเหรอ?” เขาเอ่ยถามขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูรถ
“ใช่ กะว่าจะชวนเกตุไปซื้อของ”
“งั้นพรุ่งนี้ตะวันมารับนะ ตั้งใจจะไปหาเกตุเหมือนกัน” หทัยชนกนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“รุ้งไปเองดีกว่า ไม่อยากกวนตะวัน”
“ไม่กวนหรอก บ้านตะวันก็อยู่ไม่ไกลมารับรุ้งได้สบาย ไม่ต้องกลัวตะวันจะลำบากนะ แล้วไม่เป็นการกวนด้วย” น้ำเสียงตั้งมั่นและจริงจังของตะวัน ทำให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
“พรุ่งนี้ตะวันมารับรุ้งตอนบ่ายโมงก็แล้วกัน” ตะวันยิ้มร่าเมื่อได้ยินคำพูดที่ตนเองต้องการ
“พรุ่งนี้บ่ายโมงตะวันจะมารับนะ” เขานัดแนะอีกรอบ
“จ้ะ รุ้งไปก่อนนะ” ฝ่ายหญิงพูดจบก็เปิดประตูรถแล้วก้าวลงจากรถทันที โดยมีสายตาของตะวันมองตามร่างอรชรที่ไขประตูรั้วบ้านแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ด้วยรอยยิ้ม วันนี้หัวใจของเขาอิ่มเอิบและมีความสุข ที่ได้รู้จักผู้หญิงน่าตาน่ารัก มีรอยยิ้มที่สวยงามและมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจของเขาในวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าเธอ แล้วเขาก็เชื่อว่าจะต้องได้เห็นหน้าหทัยชนกทุกวัน
นับจากวันนี้เป็นต้นไป