บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

ภาพที่เห็น ทำให้โจลี่เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นในใจ นั่นคือเธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้าสำหรับครอบครัวนี้เลย และไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใดที่จะอยู่ท่ามกลางพวกเขา ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะได้พบกับพวกเขาวันนี้เอง ดูเหมือนทุกคนจะเปิดใจออกให้กว้างพอๆกับอ้อมแขน หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้เธออย่างเต็มที่

“ว่าไง คุณมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับพี่สาวผมคนนี้?” กายเอ่ยถามขึ้น ขณะมิชเชลส่งปึกเอกสารให้มารดาที่เดินออกมาช่วยถือให้ถึงรถ

“เป็นผู้หญิงที่น่ารักจริงๆ” โจลี่ตอบด้วยสีหน้ายิ้มละไม “ฉันไม่เข้าใจเลยว่า คุณมาเตือนให้ฉันระวังตัวทำไม”

“เตือนคุณ...เอ๊ะ...ผมทำอย่างนั้นเมื่อไหร่กันนี่...?” สีหน้าของกายบอกความแปลกใจ ขณะเปิดประตูให้โจลี่เดินนำเข้าไปในบ้านก่อน

“ก็คุณเป็นคนพูดเอง ว่าเพราะเธอทำให้คุณมีคู่แข่งแล้ว...และคู่แข่งคนนั้นก็เป็นคนที่เธอถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัว อะไรทำนองนั้น...ฉันก็ยังงงๆกับคำพูดของคุณอยู่”

“คู่แข่งอะไร...คุณพูดถึงใครกันคะนี่?” มิชเชลเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อทันได้ยินคำตอบของโจลี่

“อ๋อ...ที่พูดน่ะ ผมไม่ได้หมายถึงมิชเชลหรอก” กายไม่สนใจกับคำถามของพี่สาว “ผมหมายถึงคลอดีนต่างหาก”

“นั่นแน่ะ...” มิชเชลหันมามองหน้าโจลี่ทันที “เอาละ ตอนนี้ ฉันก็พอจะรู้แล้วว่า เธอสองคนคุยกันเรื่องอะไร แหม...กาย...ฉันรู้สึกแปลกใจจริงๆนะ ที่นายกล้าหาญพอที่จะเอ่ยถึงสตีฟให้โจลี่ฟัง”

“เขาไม่ได้...เอ้อ...อย่างน้อยก็ไม่ได้เอ่ยชื่อใครหรอกค่ะ” แววเลศนัยฉายฉาบอยู่ในดวงตาของโจลี่ ขณะที่มองไปทางกายซึ่งมีสีหน้าไม่พอใจอยู่ “ตอนนี้ ฉันรู้แล้วละค่ะ ว่าคนที่กายพูดถึงชื่อสตีฟ ฉันจะได้จำไว้”

“ฉันดีใจนะที่ตอนนี้คลอดีนไม่อยู่ ไม่อย่างนั้น ถ้าเจ้าหล่อนมาได้ยินนายพูดแบบนี้ รับรองว่าถูกควักลูกตาออกมาแน่เลย แม้ว่านายจะพูดเล่นก็เถอะ” มีความจริงจังแฝงอยู่เบื้องหลังคำพูดนั้น ที่ทำให้โจลี่มีความรู้สึกอยู่ว่า เรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ในเวลานี้จะต้องเป็นเรื่องจริง

“เอาละค่ะ ในเมื่อกายเขาไม่ยอมเล่าเรื่องใครคนนั้นให้ฉันฟัง คุณก็ช่วยเล่าหน่อยสิคะมิชเชล” โจลี่อดที่จะสนใจกับโรมิโอผู้ทรงเสน่ห์คนนั้นไม่ได้

“เขาก็เหมือนเปลวไฟนั่นแหละ ถ้าเธอเข้าไปใกล้สตีฟเมื่อไหร่ เธอก็จะถูกเผาไหม้เมื่อนั้น” มิชเชลตอบเป็นนัย “ฉันน่ะขออยู่อย่างปกติสุขดีกว่า ทุกวันนี้อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้ว”

“คุณเชื่อไหมล่ะว่า พี่สาวผมคนนี้เขาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์สมัยดึกดำบรรพ์มากกว่า แล้วก็เป็นอาจารย์สอนวิชานั้นด้วย โสเครตีสหรือบรรดานักปราชญ์ทั้งหลายคือคู่ต่อสู้ของพี่สาวผมเชียวนะ” กายรีบเปลี่ยนเรื่องพูด แต่แล้วก็ต้องหลบหลีกกำปั้นพี่สาวที่ประเคนทุบเข้าให้

เสียงฝีเท้าของผู้เป็นมารดาเดินใกล้เข้ามา มิสซิส เลอบลังซ์ มีถาดบรรจุแก้วกับเหยือกน้ำมะนาวประคองมาด้วย ไม่มีใครคิดจะปฏิเสธเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นนั่นเลย

“ได้ยินเสียงพูดกันถึงคลอดีนอยู่นี่ วันนี้แม่ก็ได้รับจดหมายจากเขาเหมือนกัน” มิสซิส เลอบลังซ์กล่าว “เห็นบอกว่าสุดสัปดาห์นี้จะกลับบ้านแล้ว”

“จะมาอยู่นานเท่าไหร่ล่ะครับ” สีหน้าของกายเคร่งขรึมลงทันที แสดงให้เห็นถึงความไม่ใคร่พอใจที่ได้รับทราบข่าวนี้

“ก็คงจะอยู่จนหมดวันหยุดละมัง”มารดาตอบ

“เธอคงจะได้งานดีมากนะคะ ถึงสามารถจะกลับมาพักอยู่ที่บ้านได้ครั้งละนานๆอย่างนี้” โจลี่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องดูจะนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดปริปากพูดอะไรออกมาเลย

“ลูกสาวฉันคนนี้เขาเป็นจิตรกร” มิสซิส เลอบลังซ์พูดเป็นเชิงอธิบาย “ตอนช่วงฤดูร้อนนี้เขาเอาภาพไปเปิดการแสดงที่นิวออร์ลีนส์ แล้วก็อีกครั้งหนึ่งตอนวันหยุดเทศกาล แล้วก็ตอนมีงานมาร์ดิกราส์ นอกจากนั้นเวลาที่เหลือ เขาก็จะกลับมาอยู่บ้าน ใช้เวลาวาดรูปใหม่ๆเพื่อจะได้มีงานชิ้นใหม่ๆไว้ไปแสดงในครั้งต่อๆไป”

“รู้สึกว่าเป็นงานอาชีพที่น่าสนใจแล้วก็ได้ทำอย่างมีความสุขด้วยนะคะ” โจลี่หันไปมองทางมิชเชลและกาย ด้วยหวังที่จะเห็นสองพี่น้องแสดงความภาคภูมิใจเช่นเดียวกับมารดา “เธอคงเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียวนะคะ”

“อ๋อ...ใช่สิ...”สตรีสูงอายุพยักหน้ารับทันที “อย่างภาพวาดที่ติดประดับไว้ทั่วบ้านนี่ก็เป็นฝีมือของคลอดีนทั้งนั้นละ”

ภาพวาดสองภาพที่ประดับอยู่บนฝาผนังในห้องเธอ ปรากฏขึ้นในมโนภาพทันที เป็นภาพดอกเดซี่ขาวบริสุทธิ์เด่นอยู่ในท่ามกลางสีสันของดอกไม้ชนิดอื่น ซึ่งวางทาบอยู่บนพื้นสีฟ้าจาง ส่วนอีกภาพหนึ่งนั้น ก็เป็นภาพดอกไม้เช่นกัน เพียงแต่ปักอยู่ในแจกันลายครามของจีนตั้งอยู่บนโต๊ะมีผ้าลูกไม้คลุม ลายของผ้าลูกไม้นั้นดูละเอียดประณีตราวของจริง

ซึ่งถ้านั่นเป็นฝีมือของคลอดีน เช่นที่มิสซิสเลอบลังซ์กล่าว ก็เห็นได้ชัด ว่าเธอจะต้องเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เมื่อโจลี่เอ่ยถามเองนี้ มิสซิส เลอบลังซ์ก็ยืนยัน ว่าภาพนั้นเป็นฝีมือของลูกสาวจริงๆ ขณะที่นางกำลังจะเล่าถึงเรื่องความสำเร็จของคลอดีต่อ ก็พอดีกับที่สามีของนางกลับมาถึงบ้านเสียก่อน

อีมิล เลอบลังซ์ เป็นบุรุษร่างเล็ก สูงประมาณห้าฟุตครึ่งเท่านั้น เรือนผมเป็นสีเข้มเช่นเดียวกับลูกชาย แต่ขณะนี้มีสีเทาสอดแซมขึ้นบ้างแล้ว

หลังจากที่ทักทายกับภรรยา ลูกสาวลูกชายแล้ว เขาจึงได้หันมายิ้มให้โจลี่ ซึ่งพอเห็นรอยยิ้มนั้น โจลี่ก็รู้ได้ทันทีว่ากายรับเสน่ห์นี้มาจากบิดาแน่นอน

“อา...แล้วคุณผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่กำลังยืนร่วมห้องกับเราอยู่นี่เป็นใครกันล่ะ โจเซฟิน?”

มิสซิสเลอบลังซ์เล่าเหตุการณ์ที่ทำให้โจลี่ได้เข้ามายืนอยู่ในบ้านหลังนี้ ไปพร้อมๆกับแนะนำให้สามีได้รู้จักกับโจลี่ ซึ่งมิสเตอร์เลอบลังซ์ก็ต้อนรับเธอด้วยความเมตตาเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว

“ชื่อโจลี่ อังตัวเนตต์ เป็นชื่อฝรั่งเศสชัดๆเลยนะ” เขาเอ่ยขึ้น

อีกครั้งหนึ่งที่โจลี่อธิบายถึงเหตุผลในการเดินทางมาเซ้นท์ มาร์ตินวิลล์ในครั้ง เล่าถึงความพยายามที่จะค้นคว้าหาความรู้ถึงบ้านไร่ ซึ่งครั้งหนึ่งต้นตระกูลของเธออาศัยอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องการจะท่องเที่ยวชมทัศนียภาพของเมืองชนบทแห่งนี้ด้วย

อีมิล เลอบลังซ์เอง ก็ดูจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องบ้านไร่หลังนั้น เช่นเดียวกับภรรยาและลูกชายของเขา เมื่อเธอเอ่ยถึงคาเมรอน ฮอลล์ แต่ดูเหมือนเขาจะให้ความสนใจเรื่องการท่องเที่ยวชมสถานที่ในเมืองชนบทแห่งนี้ของเธอมากกว่า

“เราจะต้องช่วยคุณเขียนกำหนดการต่างๆขึ้น เพื่อที่คุณจะได้ชมสถานที่ต่างๆให้ทั่วขณะอยู่กับเราที่นี่” เขาบอก หันหน้าไปทางลูกชายกับลูกสาว ราวกับจะขอให้ช่วยกันทำงานชิ้นสำคัญนี้ให้เป็นผลสำเร็จ

“มีเวลาอีกเหลือเฟือน่า ปาป้า” มิสซิส เลอบลังซ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ให้โจลี่ดื่มน้ำมะนาวให้หมดเสียก่อนก็ได้ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาทานอาหารค่ำเสียก่อนก็ยังทัน ตอนนี้เธอยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่นี่ ควรจะได้พักผ่อนเสียให้เต็มที่ เพราะเดินทางมาไกล เอาไว้เมื่อทานอาหารค่ำแล้ว ค่อยมาวางแผนกัน เราไม่ควรจะเอาแผนการของเราไปยัดเยียดให้เธอเลย ให้เธอเลือกเองดีกว่า ว่าอยากจะดูอะไร”

“จริง...จริง” มิสเตอร์เลอบลังซ์ผงกศีรษะรับทันที สายตาของเขาที่มองโจลี่ ราวขออภัยอยู่

“ดิฉันเองก็ไม่คุ้นกับท้องถิ่นแถบนี้เลยค่ะ คุณเลอบลังซ์ เพราะฉะนั้น ดิฉันก็ยินดีมากแล้วก็พร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำที่คุณจะกรุณาอธิบายให้ฟังนะคะ” โจลี่รีบกล่าวคำรับรองด้วยความรู้สึกตื้นตันใจในความมีเมตตาของผู้สูงอายุทั้งสอง

“แต่ถึงยังไง ที่ภรรยาผมพูดมันก็ถูกต้องอยู่นะ เรื่องนี้เราเอาไว้พูดกันหลังจากทานอาหารค่ำแล้วจะดีกว่า” เขาโอบแขนลงรอบไหล่ภรรยา “คืนนี้เรามีอะไรกินกันบ้างล่ะที่รัก ทำอาหารพิเศษต้อนรับแขกของเราหรือเปล่า?”

“เห็นจะไม่ใช่คืนนี้หรอกค่ะ ตอนนี้ให้เธอคุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศของที่นี่ก่อนดีกว่า แล้วค่อยชินกับเรื่องอาหารต่อไป”

โจลี่พยายามหาช่องที่จะกล่าวคำขออภัยต่อทุกคน ที่การมาของเธอทำให้พวกเขาต้องลำบากยุ่งยากกันไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นเลย แต่ดูเหมือนคำพูดของเธอจะไม่มีใครยอมรับฟัง มิสซิสเลอบลังซ์ถึงกับยืนยันว่า การที่โจลี่มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้สร้างความลำบากให้เกิดขึ้นแต่ประการใดเลย ซึ่งทำให้เธอบังเกิดความอบอุ่นใจอย่างยิ่ง ที่โชควาสนาทำให้เธอได้เข้ามาพักพิงอยู่กับครอบครัวที่มีความเมตตาถึงเพียงนี้...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel