บทที่ 7
แต่โจลี่กลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกขบขันแท้จริง
“แล้วจากตรงนี้ไปถึงต้นโอ๊กนั่นมันอีกไกลไหมล่ะคะ?” เธอเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย
“เลี้ยวตรงมุมนั่นก็ถึงแล้ว...ว่าแต่...คุณมีความรู้สึกเกี่ยวกับบทกวีที่ชื่อ “อีแวนเจลีน” ของลอง เฟลโล่ว์ ดีแค่ไหนล่ะ?” กายถาม
“ก็...นิดหน่อยเท่านั้น ฉันจำได้แค่ที่ว่า...อีแวนเจลีนจำพรากจากคู่หมั้นของเธอที่ชื่อกาเบรียลไป และเธอก็ออกติดตามหาเขา จนในที่สุดก็ได้พบว่า เขากำลังจะตายอยู่ในโรงพยาบาล...ก็แค่นั้น”
“แล้วคุณพอจะรู้เรื่องราวที่ทำให้ลอง เฟลโล่ว์ เขียนบทกวีนี้ขึ้นหรือเปล่า?” เขาถามต่อ
“เมื่อโจลี่ปฏิเสธ ว่าเธอไม่รู้ว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ลอง เฟลโล่ว์ เขียนบทกวีนี้ขึ้น กายก็เล่าต่อให้เธอฟัง...
“แรงบันดาลใจของเขา เกิดขึ้นจากเด็กหญิงกำพร้าคนหนึ่งชื่อเอมเมอลีน ลาบิช ซึ่งครอบครัวอะคาเดียน ได้รับไปเลี้ยงไว้ในบ้านของตนที่เมืองโนวาสโกเตีย พอเอมเมอลีนอายุได้สิบหกปี เธอก็ตกลงที่จะแต่งงานกับหลุยส์ อาเซอน๊อกซ์ ชายหนุ่มที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลา ที่อังกฤษได้สั่งให้ครอบครัวอะคาเดียย้ายออกไปจากแคนาดาให้หมด เมื่อหลุยส์ไม่ยอมย้ายก็ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วพวกอังกฤษก็พาตัวเขาไป ซึ่งทำให้เขาต้องพรากจากเอมเมอลีน ซึ่งตอนนั้นตัวเธอเองก็ถูกจับและแยกไปไว้ในเรืออีกลำหนึ่ง ต่อมาเอมเมอลีนกับครอบครัวของพ่อแม่บุญธรรมก็ไปลงหลักปักฐานอยู่ในแมรี่แลนด์ แต่เธอไม่รู้เลยว่าหลุยส์ไปอยู่ที่ไหน...”
“อีกหลายปีต่อมา เธอก็ได้ยินข่าวว่ามีครอบครัวชาวอะคาเดียนมาตั้งรกรากอยู่ในหลุยส์เซียน่า เอมเมอลีนกับครอบครัวของเธอจึงเดินทางมาที่นี่ พอเธอก้าวลงจากเรือความเศร้าสลดรันทดใจก็มลายหายไปสิ้น เพราะใต้ร่มเงาของต้นโอ๊กใหญ่ต้นหนึ่งนั้น เธอได้พบกับผู้ชายคนที่เธอต้องโศกเศร้าถึงเขามาเป็นเวลานานหลายปี”
“แต่จะอย่างไรก็ตามการกลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะหลุยส์ได้ไปให้คำมั่นสัญญากับผู้หญิงอีกคนหนึ่งแล้ว และเหตุการณ์ก็ดำเนินต่อไป ในลักษณะที่ว่า เอมเมอลีนได้คร่ำครวญถึงเขา ราวกับว่าเขาได้ตายจากเธอไปแล้ว ไปอยู่ในภพอื่นที่ไม่มีวันจะกลับมาพบกันได้อีก เธอคร่ำครวญอยู่อย่างนั้นจนถึงวันตาย”
ฝีเท้าของกายทอดจังหวะช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
“แล้วเขาก็ว่ากันว่า โอ๊กต้นนี้แหละที่เอมเมอลีนได้พบแล้วก็ต้องสูญเสียคู่หมั้นของเธอไป”
โจลี่เงยหน้าขึ้นมองต้นโอ๊กใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาตระหง่านอยู่ทางเบื้องหลัง ความใหญ่โตของต้นไม้นี้ข่มให้สวนสาธารณะเล็กๆที่รายล้อมอยู่รอบบริเวณดูแคบไปถนัด เลยจากต้นโอ๊กคือคือลำน้ำที่ไหลเอื่อยๆ แฝงอยู่ด้วยบรรยากาศของความสุขสงบ ทั้งที่อยู่เกือบจะใจกลางเมืองและนี่เองคือต้นโอ๊กที่ได้รับการขนานนามว่า “ต้นโอ๊กของอีแวนเจลีน”
“แต่ผมกลับคิดว่า มันออกจะเป็นการพูดเกินความจริงไปสักหน่อยที่ว่า ตัวตึกหลังนี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อว่า “อะคาเดียน เฮ้าส์ มิวเซียม” ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักอาศัยของหลุยส์ อาเซอน๊อกซ์กับภรรยาของเขา” กายเอ่ยต่อ ขณะที่โจลี่ยังเหม่อมองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นอยู่อย่างมหัศจรรย์ใจในขนาดอันใหญ่โตของมัน “ที่นี่มีอนุสาวรีย์ของพวกเขาด้วยนะ”
“แล้วแม่น้ำที่เห็นอยู่นั่นใช่ไหมคะ ที่เรือของเอมเมอลีนแล่นเข้ามา?” โจลี่ออกเดินช้าๆไปบนลานหญ้าเขียวชอุ่ม และยังเดินเลยลงไปจนถึงริมตลิ่งเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง” กายเดินตามมาติดๆ “นี่แหละแม่น้ำเบยู ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็จะต้องเรียกว่า เบยู เทชเช่”
“ดูแล้วรู้สึกว่า มันเป็นแม่น้ำสายเล็กๆสายหนึ่งเท่านั้นนะ” โจลี่หันไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินอยู่เคียงข้าง “คือในตอนแรกฉันคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เบยูน่าจะเป็นชื่อของหนองน้ำอะไรสักแห่งมากกว่า”
“ว่ากันว่า พวกฝรั่งเศสกลุ่มแรกที่ได้พบเห็นแม่น้ำสายนี้ได้ตั้งชื่อว่า “สลีปปิ้ง วอเตอร์” เสียด้วยซ้ำ เพราะดูเหมือนจะไม่มีกระแสที่ผลักดันให้น้ำในแม่น้ำนี้ไหลไปไหนเลย” กายอธิบายช้าๆ “อันที่จริงน้ำมันก็ไหลของมันไป...เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนทิศทาง แล้วก็ไม่ได้ไหลย้อนกลับลงมาทางเดิมอีกเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือ...มันไหลไปทางเดียว”
“คำว่าเทชเช่...เป็นคำในภาษาฝรั่งเศสใช่ไหมคะ แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะ?”
“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอก ผมว่าฝรั่งเศสเอามาจากภาษาของพวกอินเดียนแดงที่แปลกว่า”งู”มากกว่า การที่เปลี่ยนคำว่า “สเนค” เป็น “เทชเช่” ก็เพียงเพื่อให้เข้ากับสำเนียงฝรั่งเศสเท่านั้น”
โจลี่ถอนใจยาว ก่อนจะหันมาทางกาย
“รู้สึกว่าฉันมีอะไรที่จะต้องเรียนรู้มากจัง”
“ก็ดีแล้วละ”
“อ้าว...ทำไมล่ะ?” เธออดนึกขันกับคำพูดสั้นๆของเขาไม่ได้
“ก็หมายความว่า ถ้าคุณมีอะไรที่จะต้องเรียนรู้หลายอย่าง คุณก็จะได้อยู่กับเราไปนานๆยังไงล่ะ” เขาใส่เสน่ห์ลงไปในยิ้มอีกครั้ง “ซึ่งผมอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“มีใครเคยบอกคุณบ้างไหมคะ ว่าคุณเป็นคนหัวรุนแรงเกินไป?”คำถามล้อๆของโจลี่ทำให้กายเผลอตัว แต่ก็เพียงแค่ครู่สั้นๆเท่านั้น
“ก็เห็นจะมีแต่พวกผู้หญิงที่ผมไม่สนใจเท่านั้นละ” เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขันตัวเอง
“โอ้โฮ...คุณนี่คุยโตจัง” โจลี่อดหัวเราะตามเขาไปด้วยไม่ได้
รถยนต์คันหนึ่งตีโค้งเข้ามาใกล้บริเวณสวนสาธารณะเล็กๆแห่งนั้น มีเสียงบีบแตรดังลั่นขึ้น ซึ่งทำให้ทั้งกายและโจลี่ต้องหันไปมอง ผู้หญิงผมสีเข้มคนหนึ่งโบกมือให้เขาและเธอมาจากรถ
“เอาละ ตอนนี้คุณคงได้เห็นแล้วนะ ว่าผมเป็นคนเนื้อหอมขนาดไหน” เขาทำท่ายักไหล่ราวกับว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเป็นไปเพราะโชคชะตา
“จะนั่งรถกลับบ้านหรือเปล่า?” เสียงสาวสวยคนนั้นร้องถามมา
กายหันมาทางโจลี่...
“รู้สึกว่าถ้าเดินกลับนี่มันจะไกลนะ คุณอยากนั่งรถไหมล่ะ?”
“ฉันไม่อยากให้คุณหมดหนทางทำมาหากินหรอก” โจลี่ยั่วเย้าเขาเล่นอย่างมีเลศนัย “แล้วฉันก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องตกเป็นเป้าของความอิจฉาจากแฟนคุณด้วย”
“ผมคิดว่า ผมสามารถจัดการกับผู้หญิงสองคนที่บังเอิญมาเจอกันเข้าได้น่า คุณไม่รู้หรอกว่าผมเป็นคนมีฝีมือในเรื่องนี้มาก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
“โอเค...ถ้าอย่างนั้นเราก็นั่งรถกลับบ้านกัน ฉันอยากเห็นฝีมือคุณจะแย่แล้ว” โจลี่อดหัวเราะไม่ได้ ยอมให้เขาจูงมือเธอตรงไปที่รถคันนั้น
“แหม...ใช้เวลาตัดสินใจกันนานเหลือเกินนะ” สาวสวยต่อว่าขึ้นทันที ขณะที่กายช่วยโจลี่ให้เข้าไปนั่งในที่นั่งตอนหน้า โดยให้เธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างตัวเขากับผู้หญิงคนนั้น “ไม่เห็นหรือไง ว่าตรงนี้เป็นบริเวณห้ามจอดรถ?”
“ก็เรากำลังเถียงกันอยู่ว่าจะเดินกลับหรือว่านั่งรถกลับดีน่ะสิ” กายตอบเสียงอ่อยๆ ซึ่งทำให้โจลี่อดปรายตามองพร้อมกับยิ้มยั่วให้ไม่ได้ ดูเหมือนเสน่ห์ของเขาจะไม่ประทับใจเธอผู้นี้เท่าไรนัก
“อ๋อ...จะเดินกลับบ้านทั้งที่อากาศมันร้อนตับจะแตกอย่างนี้น่ะเรอะ สงสัยจะบ้าไปแล้วมั๊ง...ถึงบ้านก็หมดกำลังกันพอดี” สาวสวยผมสีน้ำตาลเข้มเปลี่ยนเกียร์อย่างฉับไว พารถพุ่งออกสู่ถนนใหญ่
เจ้าหล่อนปรายหางตาจากถนนเบื้องหน้ามามองโจลี่แวบหนึ่ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่โจลี่เองก็ทำเช่นนั้น เธออดนึกชมในใจไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้หน้าตาสะสวย ท่าทางแคล่วคล่อง เรือนผมสีเข้มกว่าโจลี่แต่ก็ไม่ดำไปกว่ากาย ใบหน้าแจ่มใส เต็มไปด้วยเลือดเนื้อของวัยสาว สวมแว่นตากรอบทอง ซึ่งทำให้ดวงตาคู่นั้นดูกลมโตสึกใสขึ้นกว่าเดิม
“เอาละค่ะ เมื่อกายเขาไม่สนใจที่จะแนะนำเราให้รู้จักกัน ฉันคิดว่าทางที่ดีเราควรจะแนะนำตัวเองกันดีกว่า” สาวสวยคนนั้นตวัดยิ้มให้โจลี่ “ฉันเป็นพี่สาวของเขาเองแหละค่ะ ชื่อมิชเชล”
“ฉันชื่อโจลี่ สมิทค่ะ” โจลี่เหลือบมองไปทางกายที่นั่งทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนแวบหนึ่ง “ตอนนี้ฉันมาเช่าห้องพักอยู่ที่บ้านของคุณค่ะ ตั้งใจว่าจะอยู่สักสองสามอาทิตย์”
“พักร้อนหรือคะ...หรือว่าจะมาหางานทำที่นี่?”
“พักร้อนค่ะ”
“แล้วตอนนี้ พ่อน้องชายรูปหล่อของฉัน เขาก็เลยอาสาเป็นมัคคุเทศก์พาคุณเที่ยวชมเมืองสินะ”
มิชเชลมองไปทางกายด้วยสายตารู้ทัน โดยที่ฝ่ายนั้นทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เธออดพูดต่อปนหัวเราะไม่ได้ “นี่...ถามจริงๆเถอะนะ ทำไมนายถึงมีความสามารถที่จะควานหาผู้หญิงสวยๆได้ตลอดเวลานะ?”
“อ้าว...ไม่รู้หรอกเหรอว่าผมเป็นแม่เหล็ก ทุกคนต้องวิ่งเข้ามาหาผมทั้งนั้นแหละ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “วันนี้ลูกศิษย์ตัวน้อยๆของพี่เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“อย่ามาถามหน่อยเลย” มิชเชลทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที แต่แล้วสีหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นสลดลงปรายตามองมาทางโจลี่ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันเป็นครูค่ะ คุณเชื่อไหมว่าวันนี้มีคนเอากิ้งก่ามาปล่อย เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปเปิดโต๊ะเข้า มันก็โผล่ออกมาพอดี ร้องกันให้ลั่นไปหมด ต้องเรียกคนมาจับวุ่นวายกันใหญ่”
“อย่าให้ความขี้บ่นของพี่สาวผมคนนี้ล่อลวงคุณได้นะ” กายบอกกับโจลี่ “พี่สาวผมชอบบ่นพอๆกับที่ผู้ชายชอบผู้หญิงเชียวละ”
“ก็คุณเป็นคนมองโลกมุมเดียวนี่” โจลี่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“อ้อ...นี่คุณสังเกตเห็นเรื่องพรรค์อย่างนี้ของเขาเหมือนกันสินะคะ” มิชเชลสนองรับทันที
“ก็เขาพูดเสียจนฉันเชื่อว่า คุณเป็นแฟนคนหนึ่งของเขาน่ะสิคะ”
“พุทโธ่เอ๊ย ศักดิ์ศรีของนายนี่มันช่างเปราะบางเสียจริงๆเชียวนะ” มิชเชลพูดเสียงเบา แต่ก็ทำให้โจลี่อดหัวเราะไม่ได้
“นี่...แม่สอนพี่แล้วไม่ใช่หรือว่า การซุบซิบนินทามันเป็นเรื่องหยาบคาย” กายถามห้วนๆ “ฟังนะ โจลี่ ถ้าพี่สาวผมสอนอะไรคุณละก็ อย่าไปรับฟังเขาให้มากนัก”
“อันที่จริง ก็ควรจะมีใครสักคนเตือนโจลี่ล่วงหน้าเกี่ยวกับสุภาพบุรุษชาวใต้ของพวกเรา” พี่สาวของเขาพูดปนหัวเราะอย่างไม่ถือสา
การสนทนาจำต้องยุติลง เมื่อรถได้แล่นมาจอดลงตรงหน้าบ้านเลอบลังซ์แล้ว แม่ของพวกเขาปรากฏตัวขึ้นตรงช่องประตูโค้งที่อยู่ด้านหลังของตัวบ้าน คล้ายกับจะรอต้อนรับลูกของนางกับเธออยู่