บทที่ 5
ห้องที่เขาพาเธอเดินเข้าไปนั้นมีลักษณะเป็นห้องนั่งเล่นของสมาชิกภายในบ้าน มีเก้าอี้หวายกับโซฟาตั้งกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ มีต้นไม้เขียวสดตั้งประดับอยู่ทั่วทุกจุด บางต้นก็อยู่ในกระถางสีแดง ตั้งอยู่บนพื้นกระเบื้องยางและยังมีอีกหลายต้น ที่อยู่ในกระถางใบเล็กใบน้อย ตั้งอยู่บนโต๊ะบ้าง ตามมุมห้องบ้าง ซึ่งให้บรรยากาศน่าสบายมากขึ้น ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิอากาศของหลุยส์เซียน่าค่อนข้างร้อนและมีความชื้นสูง
“รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตามพ่อกับแม่มาพบ”
โจลี่พยักหน้าอย่างพอใจในความเป็นกันเอง เมื่อถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง เธอก็กวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นอย่างมาก
ขนาดกับสภาพของตัวบ้านบอกให้รู้ ว่าเป็นบ้านเก่าแต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมาโดยตลอด จนไม่อาจคาดเดาอายุได้เลย มีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะตรงมายังห้องนั่งเล่นที่โจลี่รออยู่ บอกให้รู้ว่า...กาย เลอบลังซ์ ได้พาใครคนหนึ่งมาพบเธอแล้ว
“นี่ไงครับแม่ แขกของเรา” ที่เดินเคียงข้างมากับกายคือสตรีร่างท้วมกลม สูงประมาณสี่ฟุต เป็นลักษณะของผู้หญิงที่มีความเป็นแม่เต็มตัว เช่นเดียวกับเรือนผมสีเทาเข้ม ที่ถูกตระหลบมุ่นขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะ รอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผยปรากฏขึ้นพร้อมกับที่นางยื่นมือมาให้โจลี่สัมผัส
“ลูกชายฉันบอกว่าคุณกำลังมองหาบ้านแบ่งให้เช่าอยู่ คุณชื่อสมิทใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ” โจลี่รู้สึกอบอุ่นใจในไมตรีจิตที่สตรีวัยกลางคนหยิบยื่นมากให้ มันเป็นความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้ไม่ได้เสริมแต่งแต่ประการใด
“รู้สึกว่า เธอสวยกว่าที่แกเล่าให้แม่ฟังมากทีเดียวนะ” มิสซิสเลอบลังซ์หันไปพูดล้อเล่นกับลูกชาย...สงสัยเพราะเหตุนี้เองแกถึงได้อยากให้เธอมาพักกับเรานัก...ใช่ไหมล่ะ?”
โจลี่อดรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นบนนวลแก้มไม่ได้ ไม่อยากให้สตรีผู้นี้คิดว่า เธอตามลูกชายของนางมาเพราะสนใจในความหล่อของเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของโจลี่ มิสซิสเลอบลังซ์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันพูดเล่นกับเขาเท่านั้น” นางยิ้มเป็นเชิงขออภัย “ลูกชายฉันเขาชอบคิดว่า ตัวเองหล่อจนผูกใจสาวๆได้ไม่ว่าคนไหน เพราะฉะนั้นฉันก็อยากจะเตือนไว้ก่อนว่า เวลาที่คุณมาอยู่กับเรา อย่าไปสนใจกับคำพูดหวานๆของเขาให้มากนักก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณนายมีห้องพอที่จะให้ฉันเช่าอยู่สักระยะหนึ่งใช่ไหมคะ?” โจลี่สูดลมหายใจลึกด้วยความโล่งใจ แต่แล้วก็กลับกังวลใจขึ้นมาอีก เนื่องจากยังไม่ได้พูดจาตกลงกันเรื่องราคาค่าเช่าเลย รู้สึกลำบากใจอย่างมากที่จะเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ เพราะสตรีผู้นี้ปฏิบัติต่อเธอราวแขกผู้มาพัก ไม่ใช่คนที่มาขอเช่าห้องอยู่ชั่วคราว แต่ขณะเดียวกัน เธอก็จะต้องใช้จ่ายตามงบประมาณที่ได้กำหนดไว้ โจลี่บอกตัวเองว่า ขณะนี้เธอมีที่พักแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งน่าสบายที่สุดและแวดล้อมด้วยบุคคลที่ดูออกว่า มีน้ำใจต่อเธอไม่น้อย
“ลองเล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ คุณสมิท...”กายพาตัวเข้ามาร่วมวงสนทนา ด้วยการเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “คือผมอยากทราบว่า ทำไมคุณถึงเลือกเมืองเซ้นท์ มาร์ตินวิลล์ เป็นที่พักผ่อนในช่วงพักร้อนนี่ ทำไมถึงไม่เลือกเมืองอื่นที่มันมีสถานที่เที่ยวมากกว่า น่าสนใจกว่า อย่างเช่นเมืองนิวออร์ลีนส์เป็นต้น”
“กาย...” มิสซิสเลอบลังฃ์ปรามลูกชายด้วยน้ำเสียงดุๆ “แกก็เห็นอยู่ว่าเมืองนี้มีอะไรต่อมิอะไรให้คนที่มาเที่ยวได้ชมออกเยอะแยะไป แล้วก็อยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากบ้านเราเลย อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์อาเดียน เฮ้าส์,อู่ต่อเรือ,พิพิธภัณฑ์ อะคาเดีย เฮอริเตจ ในโลเรอวิลล์ บ้านสมัยก่อนสงครามในนิว ไอเบอเรีย แล้วก็ยังอเวรี่ ไอร์แลนด์กับเบิร์ต ซิตี้ จังเกิล การ์เด้นส์อีกล่ะ...อย่าฟังเขาเลยค่ะ” นางหันมาทางโจลี่ เมื่อกล่าวต่อว่า “ที่นี่มีอะไรตั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่จะให้คุณชมได้ ถ้าคุณคิดจะไปเที่ยวนิว ออร์ลีนส์ก็เดินทางไปได้ ใกล้นิดเดียว”
“ค่ะ ฉันเชื่อว่า ช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ฉันจะต้องสนุกมากทีเดียว” โจลี่รีบคล้อยตามทันที ขณะเดียวกันก็คิดสงสัยตัวเอง ว่าทำไมจะต้องเก็บเหตุผลประการสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ ที่เธอต้องการจะสืบหาบ้านไร่ของบรรพบุรุษไว้เป็นความลับด้วย
“อันที่จริง ฉันมีเหตุผลอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องเดินทางมาที่นี่ครั้งนี้” เธอเลื่อนสายตาจากมารดาไปที่บุตรชาย “คือครั้งหนึ่งต้นตระกูลของฉันเคยทำไร่อยู่แถบนี้ค่ะ ฉันเองก็ได้รับการตั้งชื่อตามบุคคลในตระกูลค่ะ คือโจลี่ อังตัวเนตต์ คาเมรอน บ้านไร่ที่ว่านั่นก็คือ คาเมรอน ฮอลล์ บางทีคุณนายอาจจะเคยได้ยินบ้างกระมังคะ?”
เธอตั้งใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ ขณะที่บุคคลทั้งสองนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ก่อนจะตอบ แต่แล้วกาย เลอบลังฃ์ก็ยักไหล่พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แต่มารดาของเขาไม่ถึงกับจะปฏิเสธทันที
“แล้วคุณรู้ไหมคะว่ามันห่างจากที่นี่สักแค่ไหน?” มิสซิสเลอบลังฃ์ถาม
“ฉันรู้เพียงว่าคาเมรอน ฮอลล์ อยู่ห่างจากเซ้นท์ มาร์ตินวิลล์ประมาณสิบถึงสิบห้าไมล์ค่ะ”
“มันก็ไม่มากนะ” มิสซิสเลอบลังฃ์กล่าว หางเสียงที่พูดคล้ายจะแฝงแววเศร้าอย่างที่โจลี่ไม่อยากรับไว้ “วันเวลาที่ผ่านไป มันไม่ได้เมตตากับบ้านที่เก่าแก่ขนาดนั้นสักเท่าไรหรอก นอกจากวันเวลาที่ล่วงผ่านไปแล้ว ตัวทำลายต่างๆทั้งปลวกทั้งไฟก็ยังเป็นตัวช่วยอย่างดี แล้วก็ยังลมพายุกับความเจริญที่แทรกเข้ามาอีกล่ะ”
“ที่คุณนายพูดอย่างนี้ หมายถึงว่าบ้านไร่หลังนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะยังคงตั้งอยู่ได้ใช่ไหมคะ?” โจลี่สูดลมหายใจลึก แต่ท่าทางที่แสดงออกบอกให้รู้ว่า ข้อมูลเพียงแค่นี้ไม่อาจทำให้เธอเลิกล้มความคิดได้ง่ายๆ
“ดูเหมือนในแถบถิ่นนี้ จะมีบ้านเก่าแก่ตั้งอยู่ได้ไม่มากหลังนักหรอก” กายเอ่ยขึ้น จากการสังเกต ทำให้เขาพอจะมองเห็นว่า โจลี่มีความตั้งใจแรงกล้าที่จะหาบ้านหลังนั้นให้ได้
“เดี๋ยว...เมื่อกี้คุณว่าบ้านไร่หลังนั้นชื่อว่าอะไรนะคะ?” มิสซิสเลอบลังฃ์ย้อนถาม
“คาเมรอน ฮอลล์ค่ะ...”
“ลูกคงไม่คิดว่าบ้านเก่าของเอเตียน...”มิสซิสเลอบลังฃ์หันไปมองหน้าลูกชาย แต่แล้วก็ส่ายศีรษะปฏิเสธเสียเอง “แต่เห็นจะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะบ้านหลังนั้นชื่อเดอะ เทมเปิลนี่...ใช่ไหม...แม่ก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องชื่อบ้านของเขา ว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับไร่นั่นด้วยหรือเปล่า แต่ถึงยังไง ดูเหมือนว่า...เขาจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ดีอยู่นะ เราจะลองสอบถามจากเขาดูก็ได้ ว่าเขาพอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องบ้านไร่ของบรรพบุรุษคุณหรือเปล่า...แต่...เอาละ...ตอนนี้เราก็ควรจะให้โจลี่พักผ่อนให้สบายเสียก่อน...กาย...ไปเอกระเป๋าของเธอเข้ามาเถอะ แม่จะพาคุณสมิท...อ้อ...ฉันจะเรียกคุณว่าโจลี่นะ...ไปดูห้องเสียก่อน”
โจลี่ส่งกุญแจรถให้กาย พร้อมกับยืนยันว่าเธออยากให้มิสซิสเลอบลังฃ์ เรียกเธอว่าโจลี่มากกว่า
จนกระทั่งเมื่อเธอเดินตามมิสซิสเลอบลังฃ์เข้าไปในห้องโถงกว้างขวาง และตรงไปยังบันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบนแล้ว โจลี่จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ทำไม...สำเนียงการพูของพวกเลอบลังฃ์จึงฟังแปลกหู พร้อมกันโจลี่ก็รู้สึกแปลกใจตัวเองด้วย ว่าทำไมเธอจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เสียตั้งแต่แรก...เลอบลังฃ์เป็นชาวฝรั่งเศสนั่นเอง...!
“ครอบครัวของคุณนายอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือคะ?” เธอเอ่ยถามขณะเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
“ในเซ้นต์ มาร์ตินวิลล์นี่น่ะหรือ...จะเรียกว่าตลอดทั้งชีวิตก็ว่าได้ ทั้งอีมิล สามีของฉันกับตัวฉันเอง” มิสซิสเลอบลังฃ์ตอบ “เราซื้อบ้านหลังนี้หลังจากที่แต่งงานกันได้ไม่นาน ตอนที่ซื้อมาใหม่ๆบ้านหลังนี้ชำรุดทรุดโทรมมาก อีมิลต้องซ่อมแซมแล้วก็ตกแต่งใหม่มาตลอด จนกระทั่งเป็นภาพอย่างที่คุณเห็นในเวลานี้”
“เป็นบ้านที่สวยมากทีเดียวค่ะ” โจลี่พูดอย่างจริงใจ “ครอบครัวของคุณนายอพยพมาจากฝรั่งเศสหรือคะ?”
“เอ๊ะ...นี่คุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ของหลุยส์เซียน่าบ้างเลยหรือคะ?” มิสซิสเลอบลังฃ์หันมาย้อนถาม
“ฉันก็รู้เท่าๆกับที่คนอื่นๆเขารู้กันนั่นแหละค่ะ ถ้าจะรู้มากกว่าก็เห็นจะเป็นเพราะได้อ่านจากหนังสือเพิ่มเติมค่ะ” โจลี่รู้สึกอายอยู่บ้าง บอกตัวเองว่าก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ เธอน่าจะได้ศึกษาความเป็นไปและชีวิตความเป็นอยู่ของเมืองในชนบทแถบนี้ไว้บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงไม่เคยได้ยินเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ของพวกอะคาเดียนสินะ” เมื่อเห็นโจลี่ส่ายศีรษะปฏิเสธ นางก็กล่าวต่อว่า “แล้วคุณเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกคาฮูนบ้างไหมล่ะคะ?” มิสซิสเลอบลังฃ์ถาม เมื่อเห็นโจลี่พยักหน้ารับนางก็ยิ้มอย่างพอใจ
“พวกอะคาเดียน อพยพจากฝรั่งเศสมาอยู่แคนาดาแล้วก็ตั้งรกรากขึ้นใน โนวาสโคเตีย เมื่ออังกฤษเรียกร้องดินแดนคืนจากแคนาดา อังกฤษก็เกิดกังวลกับชาวฝรั่งเศสทั้งหลายที่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนนั้น จึงเปิดทางให้เลือกว่า จะเดินทางกลับไปอยู่ฝรั่งเศสหรือว่าจะย้ายไปตั้งรกรากอยู่ในดินแดนอาณานิคมของอเมริกัน ซึ่งพวกฝรั่งเศสกว่าครึ่งก็เลือกที่จะอยู่ในอาณานิคมนั้น กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไป มีหลายครอบครัวที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากกันไปในระหว่างการเดินทาง บางครอบครัวต้องใช้เวลาตามหากันเป็นปีจึงจะพบกับญาติพี่น้องที่นึกว่าหายสาบสูญไปแล้ว”
“อีกสิบกว่าปีต่อมา พวกอะคาเดียนเหล่านี้แหละที่อพยพเข้ามาอยู่ในหลุยส์เซียน่า ตอนนั้น แผ่นดินอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแถบลุ่มน้ำมิสซิสซิปปี้แห่งนี้ ก็ตกอยู่ในมือเจ้าของไร่เสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น พวกอะคาเดียนก็เลยตั้งรกรากขึ้นบนสองฟากแม่น้ำเบยู หลังจากนั้นชาวอเมริกันก็อพยพเข้ามาอยู่กันในแผ่นดินใหม่แห่งนี้ แล้วก็มาพบพวกอะคาเดียนเข้า เพราะฉะนั้น ในบางครั้งชาวอเมริกันก็เรียกพวกอะคาเดียนว่า “คาฮูน” ซึ่งคุณก็คงจะเห็นแล้วนะว่า แท้ที่จริง พวกอะคาเดียนกับคาฮูนก็คือพวกเดียวกันนั่นเอง...”
“ต้นตระกูลของเราก็มีบรรพบุรุษมาจากพวกอะคาเดียนที่มาตั้งรกรากที่ว่านั้นแหละ ดังนั้น เราก็เลยเป็นฝรั่งเศส-แคนาเดียน อเมริกันยังไงล่ะ”