บทที่ 4
ข้อโต้แย้งทั้งหลายที่โจลี่นำขึ้นมาอ้าง เพื่อไม่ให้ป้าต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อสนองความใฝ่ฝันของเธอ ดูจะถูกปิดกั้นจนหมดสิ้น ในที่สุด เธอก็พบตัวเองที่นั่งลงตรงโต๊ะทำงาน ขณะที่ป้าบริจิตต์เริ่มวางแผนการเดินทางในครั้งนี้ให้
เริ่มต้นด้วยรถโฟล์กสวาเก้นคันเล็กของโจลี่ ที่จะต้องได้รับการตรวจสภาพครั้งใหญ่ก่อนจะออกเดินทาง ต้องเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่เพิ่มอีกสักสองสมชุด ต้องมีการสอบถามเกี่ยวกับโรงแรมที่พักในเมืองที่อยู่ใกล้ตำบลบ้านไร่ที่จะเดินทางไปครั้งนี้ เตรียมเงินจำนวนหนึ่งไว้เป็นค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารและค่าที่พักตามที่กะประมาณไว้คร่าวๆ
ขณะกำลังกะการกันอยู่นั้น ก็พอดีที่มารดาของโจลี่กลับมาจากซื้อของในเมืองและป้าบริจิตต์ ก็รับหน้าที่เป็นผู้อธิบายโครงการทั้งหมดให้ฟัง กับขอให้มารดาของโจลี่ให้ความรู้เพิ่มเติมเท่าที่จดจำได้
เมื่อมองดูตัวเลขค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว โจลี่ก็ถึงกับครางออกมา
“โอ...ถ้าต้องใช้เงินขนาดนี้ป้าก็น่าจะไปกับหนูได้นะคะ หนูจะได้รู้สึกว่าอย่างน้อยเงินนี่มันก็ยังเป็นประโยชน์สำหรับป้าด้วย”
“นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้หรอกโจลี่ เพราะที่เราคิดกันมาทั้งหมดนี่น่ะ ก็เพื่อจะให้หนูเดินทางท่องเที่ยวตามลำพังให้สนุก ซึ่งถ้าหนูพ่วงเอาสาวแก่อย่างป้าไปด้วยละก็มันไม่สนุกหรอก” ป้าบริจิตต์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ไม่ว่าโจลี่จะอ้างเหตุผลประการใด ก็ไม่อาจทำให้ป้าของเธอเปลี่ยนความตั้งใจได้และเธอก็จะต้องทำไปตามรายการต่างๆ ที่ป้าได้ช่วยวางแผนไว้ให้โดยไม่มีการคัดค้าน
ภายในหนึ่งสัปดาห์ รถยนต์ส่วนตัวก็ได้รับการตรวจสภาพเรียบร้อย ได้รับคำตอบยืนยันเกี่ยวกับเรื่องโรงแรมที่พักและกระเป๋าเดินทางก็จัดเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย
ขณะที่เธอเคลื่อนรถยนต์ส่วนตัวออกสู่ทางหลวง โจลี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้อย่างเหลือจะกล่าว
มีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่อาจทำให้การเดินทางครั้งนี้ต้องพบกับความผิดหวังในขั้นสุดท้าย นั่นก็คือ คฤหาสน์ คาเมรอน ฮอลล์ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับเธออาจไม่เหลือซากให้เห็นอีกต่อไปแล้วก็ได้...!
จากจดหมายที่ทางโรงแรมตอบกลับมา ยืนยันเรื่องที่พักในตัวเมืองของเธอนั้น ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า...ทางโรงแรมไม่มีความรู้และไม่เคยได้ยินว่า...มีบ้านไร่ชื่อคาเมรอน ฮอลล์ ตั้งอยู่ในแถบนั้น
แต่สำหรับเรื่องนี้ ป้าบริจิตต์ให้เหตุผลว่า คฤหาสน์หลังดังกล่าวน่าจะถูกขายไป ภายหลังจากที่สงครามกลางเมืองสงบลง เพื่อนำเงินมาชำระภาษีและอาจถูกเปลี่ยนชื่อไปแล้วก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นความหวังอันน้อยนิดเต็มที แต่ถึงอย่างไร มันก็ยังมีทางเป็นไปได้ เพราะเรื่องการเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่างๆหลังสงครามสงบลง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ปฏิบัติกันอยู่
แม้ว่าเธอจะเป็นคนใจร้อน แต่โจลี่ก็จำเป็นต้องแบ่งช่วงตอนของการเดินทาง เพราะมันเป็นการเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะต้องใช้เวลาทั้งหมดถึงสี่วัน
เธอพยายามใช้เส้นทางสายเก่าให้มากที่สุด ไม่ใคร่สนใจกับถนนสายที่ตัดขึ้นใหม่เพื่อย่นระยะเวลาให้เร็วขึ้นสักเท่าใดนัก ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ชื่นชมกับธรรมชาติแสนสวยสองข้างทางให้เต็มที่ แต่กระนั้น เมื่อรถโฟล์คสวาเก้นสีแดงข้ามพรมแดนเข้าสู่รัฐหลุยส์เซียน่า หัวใจก็อดเต้นรัวแรงไม่ได้ มีความรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับบ้านอีกครั้ง
ขณะนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นและ และเหลือระยะทางอีกไม่ถึงร้อยไมล์ ก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะได้เห็นช่วงสุดท้ายของการเดินทางในท่ามกลางแสงสว่างแล้ว เธอก็คงจะมุ่งหน้าต่อไป แต่เนื่องด้วยความต้องการเช่นนั้น จึงทำให้เธอเลี้ยวรถเข้าไปในโมเต็ลแห่งหนึ่ง ตัดสินใจว่า ถ้าออกเดินทางพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่ เธอจะมีเวลาชื่นชมกับทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองชนบทได้มากกว่า โดยไม่จำเป็นต้องรีบเร่งแต่อย่างใด
และแล้ว ...เช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึง มันเป็นการเดินทางช่วงสุดท้ายแล้ว...เธอพ้นบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งอยู่รอบตัวเมืองอเล็กซานเดรีย ผ่านโอฟีลูซาสลงไปจนถึงลาฟาแย็ตต์ จนในที่สุดก็เลี้ยวเข้าสู่เซนต์ มาร์ตินวิลล์ อันเป็นใจกลางของเมืองชนบทที่มีชื่อว่า อีแวนเจลีน
ป้ายที่เขียนข้อความเชิญชวนอยู่กลางเมืองนั้น เร่งเร้าความปรารถนาในใจให้ใคร่จะได้ชมต้นโอ๊ก ของอีแวนเจลีน ซึ่งมีปรากฏอยู่ในบทกวีของลอง เฟลโลว์ แต่โจลี่ก็จำต้องตัดใจผ่านไปก่อน อย่างน้อยเธอก็ยังมีเวลามากพอที่จะได้เที่ยวชมทัศนียภาพของเมืองชนบทแห่งนี้อีกถึงสามอาทิตย์
แต่ขณะนี้ สิ่งที่เธอต้องทำก็คือ หาที่พักให้ได้เสียก่อนและต้องเป็นสถานที่ที่มีความสะดวกสบายพอสมควรในราคาที่มีเหมาะสมด้วย
เธอจอดรถโฟล์กคู่ใจลงเบื้องหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตัดสินใจว่า ถ้าได้สอบถามจากผู้คนในแถบถิ่นนี้แล้ว อาจทำให้เธอมีความรู้ว่าจะเช่าบ้านพักได้ที่ไหน ซึ่งเท่ากับเป็นการประหยัดค่าห้องพักในโรงแรมกับค่าอาหารไปได้มากทีเดียว
หลังจากสั่งกาแฟแล้ว โจลี่ก็ถามจากบริกรหญิงว่า เธอมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องบ้านที่แบ่งให้เช่าตามลักษณะที่ต้องการบ้างหรือไม่ หญิงสาวผู้นั้นหยิบหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นมาให้ตรวจดูเอง ในหน้าโฆษณาเล็กๆนั้น ไม่มีบ้านในลักษณะที่เหมาะสมกับเงินงบประมาณที่มีอยู่ในกระเป๋าเลย เมื่อบริกรหญิงนำกาแฟมาเสิร์ฟเธอก็ส่งหนังสือพิมพ์คืนให้
“รู้สึกว่าจะไม่มีบ้านแบ่งให้เช่าอย่างฉันต้องการเลย” โจลี่บอกพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “เธอพอจะมีความรู้บ้างไหมว่าฉันควรจะสอบถามที่ไหนได้บ้าง?”
หญิงสาวผมดำทำท่าเหมือนจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่แล้วก็ยกมือขึ้นปิดปากเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอเหลียวมองไปทางเคาน์เตอร์ที่มีผู้ชายสามคนนั่งอยู่ด้วยกันก่อนจะหันกลับมามองหน้าโจลี่ รอยยิ้มกว้างฉาบอยู่บนใบหน้า
“ฉันพอจะนึกออกแล้วละค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ” เธอว่า
โจลี่มองตามร่างบริกรสาวที่เดินตรงไปยังชายกลุ่มนั้น แตะไหล่ผู้ชายผมดำคนหนึ่ง พยักเพยิดมาทางโจลี่พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างกับเขา
ครู่ต่อมา ผู้ชายคนนั้นก็ขอตัวจากเพื่อนและเดินเข้ามาหาเธอที่โต๊ะ ดวงตาคู่สีดำสนิทมองหน้าโจลี่อย่างสำรวจตรวจตราเมื่อบริกรสาวแนะนำ
“คุณคะ นี่คือมิสเตอร์กาย เลอบลังซ์ ฉันคิดว่าเขาคงจะช่วยคุณได้ค่ะ” พูดจบสาวเสิร์ฟคนนั้นก็เดินจากไป
“ยินดีครับที่ได้รู้จัก...คุณ...”โจลี่มองเห็นอยู่ว่าเขาพยายามใส่เสน่ห์เข้าไว้ในรอยยิ้มกว้างนั้น ซึ่งมันก็ได้ผลไม่น้อย
“สมิทค่ะ...ฉันชื่อโจลี่ สมิท “ เธอตอบพร้อมกับยิ้มให้
“พนักงานเสิร์ฟที่ชื่อเดนนิสบอกกับผมว่า คุณกำลังมองหาบ้านที่แบ่งห้องให้เช่าอยู่...” ผู้ชายคนนั้นกล่าว หางเสียงเป็นเชิงถาม
“ใช่ค่ะ ฉันอยากเช่าห้องในบ้านที่แบ่งให้เช่าและรับประทานอาหารด้วย ก็คิดว่าจะอยู่แค่สองสามอาทิตย์เท่านั้น” โจลี่พูดเป็นเชิงอธิบาย ยกมือขึ้นปัดปอยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ระอยู่กับนวลแก้ม รู้สึกถึงความคมปลาบของสายตาคู่ที่กำลังจดจ้องมองหน้าเธออยู่ “คุณพอจะทราบไหมคะว่า ฉันจะหาบ้านลักษณะที่ว่าได้ที่ไหน?”
“ที่บ้านผมเองครับ” กาย เลอบลังซ์ตอบด้วยน้ำเสียงสงบ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นโจลี่เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าอย่างแปลกใจ” ที่บ้านมีพ่อกับแม่ผมอยู่ด้วย” เขารีบเสริมเพื่อให้เธอเกิดความมั่นใจมากขึ้น “แต่ก่อนนี้ก็เคยแบ่งให้เช่ามาแล้ว แต่ตอนนี้พอมีห้องว่างอยู่ แต่เราไม่รับพร่ำเพรื่อ”
“แล้วคุณคิดว่า พ่อกับแม่ของคุณพอจะให้ฉันเช่าพักสักชั่วคราวได้ไหมคะ?” โจลี่รู้สึกชอบน้ำเสียงและวิธีการพูด รวมไปถึงสำเนียงที่แปลกหูของเขา ไม่เหมือนพวกชาวไร่คนอื่นๆที่เคยรู้จักมา
“ผมแน่ใจครับ แต่ขอให้ผมพาคุณไปที่บ้านก่อน คุณจะได้พบปะเจรจากับพ่อแม่เอง แต่คุณจะต้องเข้าใจนะครับว่าเรามีให้เฉพาะห้องนอนใหญ่ สำหรับเรื่องอาหารคุณจะต้องกินร่วมกับครอบครัวเรา” เขาพูดอย่างเป็นงานเป็นการ ขณะที่โจลี่ลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งดื่มกาแฟ เมื่อเธอเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าถือเพื่อจ่ายค่ากาแฟ กายก็ชิงจ่ายตัดหน้า ด้วยการวางเงินที่ล้วงออกมาจากกระเป๋าของตนเอง วางลงบนโต๊ะ ทำมือเป็นสัญญาณบอกให้พนักงานเสิร์ฟรู้ว่าเป็นค่ากาแฟของโจลี่
“ขอต้อนรับด้วยความยินดีครับ” เขาพูดยิ้มๆเมื่อเห็นโจลี่ทำท่าจะทักท้วง
เมื่อเขาพาเธอเดินออกจากร้านอาหารแห่งนั้น คราวนี้โจลี่อดเป็นฝ่ายพิจารณาชายหนุ่มที่เดินอยู่เคียงข้าง ตรงไปยังรถโฟล์กที่เธอจอดไว้ไม่ได้
เธอตัดสินอยู่ในใจว่า กาย เลอบลังซ์ ที่น่าจะอายุประมาณยี่สิบเศษ คงจะแก่กว่าเธอสักหนึ่งหรือสองปี สูงไม่ถึงหกฟุต แต่รูปร่างสูงโปร่งท่าทางมีสง่าราศี เรือนผมสีน้ำตาลแต่เข้มกว่าเธอมาก ใบหน้าค่อนข้างเรียวสมส่วนและเข้ากับรูปร่าง คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากที่ได้รูป แต่ดวงตาคู่นั้น เป็นประกายสดใสเมื่อสะท้อนอยู่กับแสงแดด
วันนี้เขานุ่งกางเกงสีเนื้อเข้ม สวมเสื้อผ้าฝ้ายพิมพ์ดอกสีสด บุคลิกลักษณะของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ปล่อยตัวตามสบาย ซึ่งโจลี่มองเห็นว่ามันเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเขา และเธอก็รู้ด้วย ว่าผู้ชายคนนี้รู้ในเสน่ห์และความหล่อของตนเอง จึงพยายามใช้มันให้เป็นประโยชน์ทุกครั้งที่ทำได้
และนั่นเท่ากับเป็นการเตือนตัวเองไว้สำหรับความสัมพันธ์ที่จะมีต่อกันไปในวันข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอจะต้องอยู่ร่วมชายคาบ้านกับเขา อย่างน้อยก็ระยะเวลาหนึ่ง
เขาชี้แจงเส้นทางที่จะไปบ้านให้เธอฟังอย่างละเอียด ในตอนแรกโจลี่คาดว่า เขาจะเสนอตัวช่วยขับรถคันของเธอแทนให้ แต่เขาก็แสดงออกให้เห็นว่า พอใจจะดูเธอมากกว่าการขับรถหรือมองเส้นทางตรงหน้า
“บ้านหลังสีขาวตรงหัวมุมนั่นแหละครับ” กายบอกโจลี่
อีกครั้งหนึ่งที่เธออดแปลกใจกับสำเนียงพูดของเขาไม่ได้ เพราะดูเหมือนจะไม่ใช่สำเนียงของคนใต้เสียทีเดียว โจลี่เลี้ยวรถเข้าไปในทางวิ่งส่วนตัวของบ้านหลังใหญ่และขับเลยเข้าไปจนถึงด้านหลัง เธอเพิ่งจะเหยียบเบรกเมื่อจอดรถลงตอนที่กายลงจากรถและเดินอ้อมมาทางด้านที่เธอนั่ง เพื่อช่วยเปิดประตูให้ ซึ่งมรรยาทอันงดงามนี้ออกจะมีอิทธิพลอยู่ มันทำให้โจลี่แทบทำตัวไม่ถูก อึดอัดใจไม่น้อยเมื่อเขายื่นมือหนึ่งมาให้เกาะ เพื่อลงจากรถและเดินเข้าบ้านด้วยกัน