บทที่ 3
โจลี่ไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าเขากำลังผละไปจากเธอ จนกระทั่ง...เมื่อจอห์นเดินห่างไปตั้งหลายก้าวแล้ว เธอจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ควรต้องพูดอะไรบางอย่างบ้าง
“จอห์น...จอห์นคะ...ฉันเสียใจจริงๆ”
เธอเห็นเขาชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ ไหล่ตั้งตรง ใบหน้าเชิดเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกลับมามองและโบกมือให้ จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆตรงไปยังรถที่จอดไว้ โจลี่มองตามขณะที่เขาขับรถออกจากที่นั้น ก่อนที่จะเดินย้อนกลับไปหาเจ้าม้าด่างที่ก้มหน้าก้มตาเคี้ยวหญ้าอ่อนอยู่
เสียงประตูมุ้งลวดกระแทกปิดตามหลังเมื่อโจลี่เดินเข้าไปในบ้านสองชั้นสีขาว อารมณ์และความรู้สึกของเธอในยามนี้ไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลงกว่าเมื่อเช้าเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มีความมุ่งมั่นเกิดขึ้นในใจประการหนึ่งว่า เธอจะไม่หางานทำใกล้บ้านอย่างแน่นอน เพราะถ้าทำเช่นนั้นมันออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับจอห์น เหตุผลนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่า เขาเป็นบุคคลประเภทที่เมื่อพบกับความผิดหวังแล้ว จะต้องถึงกับไปกระโดดหน้าผาตาย ตรงกันข้าม เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาชนิดหัวชนฝาเสียด้วยซ้ำ
“เฮลโล...นั่นใครจ๊ะ...?” มีเสียงห้วนๆอย่างคนถือตัวร้องถามมาจากระเบียงอาบแดด
“หนูเองค่ะ ป้าบริจิตต์” โจลี่ตอบ ชะโงกหน้าไปทางระเบียงนั้นพร้อมกับโบกมือให้ “แม่ไปไหนเสียล่ะคะ?”
“เข้าเมืองไปช้อปปิ้ง” เมื่อโจลี่ทำท่าจะเดินไปทางห้องส่วนตัว ป้าบริจิตต์ก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา “มานั่งกับป้าที่นี่เถอะ”
เรือนผมสีเทาเหล็ก หวีเรียบและรวบเกล้าเป็นมวยตรงท้ายทอย โจลี่มักจะคิดถึงป้าที่อายุมากกว่าแม่ถึงสิบสองปี ว่าเป็นผู้หญิงที่เคร่งขรึมและเฉียบขาดมาก แต่จากคำพูดที่ได้ยินจากจอห์น โจลี่เริ่มจะสงสัยว่า สิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจนั้นถูกต้องแล้วหรือ...? และใบหน้าที่เวลานี้มักจะเต็มไปด้วยริ้วรอยของความเคร่งเครียดกับอายุที่ล่วงไปตามวันเวลา ครั้งหนึ่งจะต้องสะสวยพอที่จะดึงดูดจิตใจของใครสักคนหนึ่งได้ โดยเฉพาะเมื่อยามแย้มยิ้ม เช่นที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
“ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านนี่ทำอะไรบ้างล่ะ?” การตั้งคำถามของป้าบริจิตต์มักมีลักษณะของการคาดคั้นเช่นนี้เสมอ แต่เป็นเวลาถึงสามสิบปีที่ป้าดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาชีพครู ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติประการใด ในระยะหลังๆนี้ ป้ามักจะมาพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านไร่กับแม่เสมอและนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ป้าทำเช่นนั้น
“หนูกำลังพักผ่อนจากที่ตรากตรำกับการเรียนอย่างหนักมาตลอดน่ะสิคะ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็กำลังพยายามใช้ความคิดอยู่ว่า จริงๆแล้วหนูอยากทำงานอะไร แล้วก็ทำที่ไหนถึงจะดีค่ะ”
“ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องรีบแก้นะ...”ป้าบริจิตต์พูดยิ้มๆ แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมองหลานสาวก็พบวี่แววความยุ่งยากฉาบฉายอยู่ “ที่ป้าพูดนี่ถูกไหมล่ะ?”
“ค่ะ...” โจลี่ถอนหายใจหนักๆ เบือนหน้าหนีเสียจากสายตาที่สำรวจตรวจตรานั้น
“แล้วเมื่อเช้าหนูออกไปไหนมาล่ะ?”
“ออกไปหาจอห์นมาค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เขาก็คงจะช่วยตอบปัญหาข้อข้องใจให้หนูได้แล้วสินะ”
“ค่ะ เขาก็ให้คำแนะนำ” โจลี่ตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น “ป้าบริจิตต์คะ บอกตรงๆเลยนะคะ ว่าหนูไม่ได้รู้สึกนึกรักจอห์นมากพอที่จะแต่งงานกับเขาหรอกค่ะ”
คราวนี้ ป้าของเธอเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง...
“ป้าเองก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันนะที่ได้ยินอย่างนี้ เสียดายแทนทั้งหนูทั้งจอห์นนั้นแหละ ที่จริงเขาเป็นได้ทั้งสามีและพ่อที่ดีเชียวละ หนูแน่ใจในความรู้สึกของตัวเองแล้วงั้นหรือ?”
“ก็...ความรักคืออะไรล่ะคะ...?” โจลี่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เบือนหน้าจากหน้าต่างมามองป้าของเธอ “เวลานี้หนูอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้เลยนะคะว่ามันคืออะไร”
“นั่นละโจลี่ คำถามโลกแตกที่เขาถามกันมาตั้งแต่สมัยสร้างโลกแล้ว” ป้าบริจิตต์เลิกคิ้วมองหน้าหลานสาว “อย่างน้อยป้าก็รู้แล้วละว่าหนูไม่ได้รักจอห์น ไม่อย่างนั้นหนูคงไม่ถามหรอก”
“นั่นเป็นวิธีหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของหนูนี่คะ” สีหน้าของโจลี่บอกความผิดหวัง “แล้วป้าก็กรุณาอย่าใช้คำพูดเก่าๆของแม่ที่ว่า...ความรักเป็นอะไรหลายสิ่งหลายอย่างสำหรับคนแต่ละคนด้วย”
“ความรักอย่างที่หนูกำลังหมายถึงนั่นน่ะ ป้าว่ามันเป็นสิ่งหายากนะ” ป้าบริจิตต์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่า มันเป็นความรักที่ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลย แล้วในโลกนี้ก็มีคนน้อยนัก ที่จะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองให้กับความรักได้ถึงขนาดนั้น ทุกคนในโลกนี้ต่างก็แสวงหาความรักอย่างที่ว่านี่กันทั้งนั้น เพียงแต่ว่า...มันยากนักที่จะหาพบได้ เห็นจะมีแต่คนที่โชคดีจริงๆเท่านั้นถึงจะได้พบ”
“แล้วป้าล่ะคะ?” โจลี่ถามเสียงเบา
“ก็เห็นจะต้องยอมรับละว่า ป้าเคยพบมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้น มันก็คร่าชีวิตเขาไปเสียจากป้า” รอยยิ้มเศร้าฉาบขึ้นบนริมฝีปากที่เครียดเคร่ง “แล้วไอ้ความรักเมื่อครั้งกระนั้น มันก็เลยทำให้ป้าต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาว้าเหว่มาจนทุกวันนี้...โจลี่ ป้าจะบอกให้นะว่า ความรักในลักษณะที่หนูพูดถึงนั่นน่ะ มันมีราคาแพงมาก เทียบเท่ากับชีวิตของคนเราทีเดียว อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ละมัง ที่ทำให้ความรักเป็นสิ่งที่มีค่ามาก”
“แล้วป้าคิดว่า หนูจะมีวันได้พบบ้างไหมล่ะคะ?”
“ถ้าสีหน้าเศร้าหมองแบบนี้ละก้อเห็นจะพบได้ยาก ป้าคิดว่าคงไม่มีใครเขาสนใจคนที่หน้าตาเศร้าหมองอย่างกับไว้ทุกข์ตลอดเวลาอย่างนี้หรอก” ด้วยประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา บริจิตต์ คาร์สัน จึงยั่วเย้าหลานสาวเพื่อที่จะดึงโจลี่ออกมาเสียจากความรู้สึกกดดันภายในที่กำลังเป็นอยู่
“เวลานี้ หนูอยากจะทำอะไรสักอย่างกับตัวเองจังค่ะป้า หนูไม่อยากไปจากบ้าน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากอยู่ มันยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก”
“บางครั้งนะ โจลี่ มันก็ออกจะเป็นเรื่องยากที่เราจะตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่เรารู้จักแวดล้อมอยู่ คือคล้ายกับว่าหนูเองก็ต้องการคำแนะนำจากเขาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ว่ามันไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไรนัก เพราะฉะนั้น วิธีดีที่สุดก็คือ หนูควรจะไปเที่ยวที่ไหนเสียสักพัก จะเป็นอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ไปไหนก็ได้ ไปมันคนเดียวนั้นแหละ พักผ่อน ทำตัวให้สนุกสนานเต็มที่ แล้วหลังจากนั้น หนูจะต้องแปลกใจที่ได้พบว่า สติปัญญามันเกิดขึ้น สมองปลอดโปร่งแจ่มใสมากทีเดียว”
“แต่หนูก็ไม่รู้จะไปไหนอีกละค่ะ” โจลี่พูดพลางยักไหล่
“โอ...มันก็ต้องมีเข้าสักแห่งหรอกที่หนูอยากไปเที่ยวน่ะ”
โจลี่ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อคิดไปถึงความใฝ่ฝันของตัวเองที่ฝังอยู่ในใจมาแต่ครั้งเยาว์วัย แต่แล้วก็ต้องปัดความคิดนั้นออกจากสมอง
“ก็อาจจะมีค่ะ” เธอตอบอย่างยอมรับ “แต่...แหม...มันเป็นเรื่องที่...อย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า เพราะเงินที่หนูพยายามเก็บสะสมไว้มันก็เล็กน้อยเสียเหลือเกิน แล้วหนูก็จำเป็นต้องเก็บไว้กินไว้ใช้กว่าจะหางานทำได้ เห็นจะเอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนั้นไม่ได้แน่”
“อันที่จริง จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ หนูอยากไปไหนล่ะ ถ้าสมมุติว่าเงินที่มีอยู่มากพอที่จะไปได้?”
“ป้าบริจิตต์คะ หนูรู้นะคะ ถ้าหนูบอกป้าว่า...อยากไปที่หนละก็ ป้าจะต้องรู้สึกแปลกใจมากๆทีเดียว แต่เมื่อป้าถาม หนูจะบอกตรงๆก็ได้ว่า...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ๆหนูอยากไปมากที่สุดคือหลุยส์เซียน่า ซึ่งคุณทวดหรือใครก็ตามที่เป็นบรรพบุรุษของเราเคยมาจากที่นั่น...หนูยังจำได้นะคะ ว่าตอนที่หนูกับมาเดอเลนยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ คุณยายเคยเล่าเรื่องบ้านไร่ของคุณทวด ที่ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่มาเมื่อครั้งยังเด็กให้พวกเราฟัง หนูอยากไปที่ไร่นั่นมากเลยค่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นไร่ฝ้ายหรืออะไรก็ตามทีเถอะ” น้ำเสียงของโจลี่ออกจะขัดเขินเมื่อกล่าวต่อว่า “หนูอยากไปดูให้เห็นกับตาว่า เวลานี้คาเมรอน ฮอลล์ ยังมีอยู่หรือเปล่า”
“มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันที่ว่า บรรพบุรุษของเราสามารถก่อหลักปักฐานขึ้นอย่างมั่นคง ในครั้งกระนั้น...แล้วก็จารึกอยู่ในจิตใจของเราจนกระทั่งทุกวันนี้” ดวงตาคู่สีเข้มจับจ้องมองหน้าหลานสาวอย่างพิจารณา
“หนูเองก็ได้ชื่อตามชื่อคุณทวดใช่ไหม...โจลี่ อังตัวเนตต์ ดูเหมือนพวกผู้หญิงในตระกูลเราจะได้รับการตั้งชื่อภาษาฝรั่งเศสกันทั้งนั้นเลย”
“ซึ่งหนูก็ชอบเสียด้วยสิคะ ชื่อโจลี่ฟังโรแมนติกกว่าเจน สมิท เสียด้วยซ้ำ” เธอพูดปนหัวเราะ
“บางที อาจจะมีหนทางที่ทำให้ได้ไปเที่ยวครั้งนี้ก็ได้นะ” มันมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจของป้าบริจิตต์จนเห็นได้ชัด เพราะสตรีวัยกลางคนหยิบหนังสือที่วางอยู่บนตักก่อนจะลุกขึ้นยืน
“หนูยังมองไม่เห็นเลยค่ะ”
“คือ...ป้ามีเงินที่สะสมไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้แล้ว ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะใช้เงินนั่นทำอะไร อีกอย่างหนึ่ง เมื่อหนูเรียนสำเร็จมา ป้าก็ยังไม่ได้ให้ของขวัญเลย เพราะอยากจะให้หนูเลือกเอาเอง เวลานี้ดูเหมือนจะเลือกได้แล้วนี่ใช่ไหม?” ป้าบริจิตต์พูดยิ้มๆ “เพราะฉะนั้น หนูก็จะได้เดินทางไปเที่ยวหลุยส์เซียน่า ได้ไปเที่ยวเมืองชนบทที่มีชื่อว่าเมืองเบยู ไงล่ะ”
“โอ้โฮ...ป้าคะ แต่ว่านั่นน่ะมันใช้เงินไม่น้อยเลยนะคะ” โจลี่ร้อง “หนูเห็นจะรับของขวัญราคาแพงขนาดนั้นจาป้าไม่ได้หรอกค่ะ”
“แล้วหนูจะห้ามป้าได้ยังไงล่ะ?”