บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

โจลี่มองเห็นรถพิคอัพ คันของเขาจอดอยู่บนถนสุดปลายไร่ ร่างสูงๆผิวสีน้ำตาลคล้ำด้วยกร้านแดดเกรียมลมมาตลอดยืนอยู่ตรงขอบคันนา กล้ามเนื้อต้นแขนเป็นมันเลื่อมอยู่ในแสงแดดยามสาย ตอนที่เขาโบกมือให้เธอเป็นการทักทายนั้น โจลี่สังเกตเห็นเขาคาบฟางข้าวไว้ระหว่างฟัน จอห์นสาวเท้าก้าวสวบๆตรงเข้ามาหา โจลี่รั้งสายบังเหียนให้ม้าด่างหยุดเดินลง เขาเอื้อมมือมารวบรัดช่วงเอวของเธอไว้ อุ้มร่างลงสู่พื้นดิน แตะจุมพิตลงบนเรียวปากเบาๆ ซึ่งโจลี่ก็สนองรับจุมพิตนั้นด้วยความรู้สึกธรรมดาที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นต่อความชิดใกล้ของเรือนกาย ที่แนบอยู่กับร่างของเธอ

“ไฮ...” ประกายในดวงตาคู่สีน้ำตาลแกมทองของเขาบอกความปีติเป็นล้นพ้น เช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้า “คุณไม่ได้ออกมาหาผมถึงท้องนานานแล้วนี่”

โจลี่ยังแนบหน้าอยู่กับแผงอก อ้อมแขนของเขาโอบร่างเธอไว้มั่นและเธอเองก็โอบแผ่นหลังเขาไว้ เจ้าม้าด่างเริ่มก้มลงขบเคี้ยวหญ้าอ่อนที่ขึ้นอยู่ข้างทางอีกครั้ง ไม่สนใจกับสองหนุ่มสาวที่เดินช้าๆ คลอเคลียกันตรงไปยังต้นคอตต้อนวู้ด ที่ขึ้นอยู่โดดเด่นตรงขอบคันนา

“เห็นพ่อบอกว่า ข้าวสาลีในนาคุณจะเกี่ยวได้แล้วนี่” โจลี่ชวนสนทนาด้วยเรื่องที่ดูจะปลอดภัยที่สุด

จอห์นเอื้อมไปดึงรวงข้าวมารวงหนึ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงโคนต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ใช้ฟันแทะเมล็ดข้าวแก่จัดสีทองและเคี้ยวเล่น

“มันยังมีความชื้นอยู่อีกนิดหน่อย”เขาบอก “ถ้าแดดกล้าๆอย่างนี้อีกสักวันหรือสองวันก็เกี่ยวได้แล้ว” เขาปัดหมวกฟางปีกกว้างให้ห้อยอยู่กับแผ่นหลัง เผยให้เห็นศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ขณะเดียวกัน ก็กวาดสายตาไปยังท้องทุ่งที่เหลืองอร่ามด้วยรวงข้าวสีทอง “รู้สึกว่าปีนี้การเก็บเกี่ยวจะให้ผลดีมากเสียด้วยสิ”

“ไหล่พ่อก็เกิดเจ็บขึ้นมาตอนนี้ แล้วก็กังวลใจด้วยว่าฝนอาจจะเทลงมาพรุ่งนี้” โจลี่โยนใบหญ้าที่ฉีกขาด้วยความหงุดหงิดใจทิ้ง

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกพ่อได้เลยนะว่าวันมะรืนเราก็เกี่ยวกันได้แล้ว เรื่องฝนไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จอห์นพูดยิ้มๆเมื่อรั้งร่างโจลี่เข้าสู่อ้อมแขน

โจลี่เบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง เมื่อเข้าโน้มใบหน้าลงมาทำท่าจะจุมพิตเธอ ดังนั้นริมฝีปากเขาจึงประทับลงบนนวลแก้มแทน แต่จอห์นก็ไม่ได้มีท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจแต่ประการใด โลมไล้ริมฝีปากไปตามช่วงลำคอและติ่งหูที่มีปอยผมสีน้ำตาลปกปิดไว้เพียงครึ่ง

ความรู้สึกของโจลี่ในยามนี้ มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจไปเสียทุกอย่าง ไม่พอใจที่ตนเองไม่อาจสนองรับอารมณ์เสน่หาของเขาได้และความรู้สึกนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก เธอเบี่ยงตัวออกห่างจากเขา ดึงต้นหญ้าขึ้นมาถือไว้ พินิจพิจารณามันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จอห์นเฝ้าจับตามองเธอราวประเมินสถานการณ์อยู่ โจลี่สัมผัสความรู้สึกได้ ว่าสายตาคู่นั้นกำลังกวาดไปทั่วใบหน้า เธอพยายามไม่แสดงอาการสะทกสะท้านออกมาให้เขาเห็น

“เป็นอะไรไป โจ?” จอห์นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งถ้าเขาจะโกรธหรือเสียใจ ความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

“ไม่รู้สิ...”เธอทอดถอนใจ เหลือบตามองหน้าเขาอย่างลังเล แววในดวงตาบอกความเกรงใจอยู่ไม่น้อย

“คุณกลับมาบ้านได้อาทิตย์หนึ่งแล้วนะ งานที่สมัครๆไว้เขาไม่ได้เรียกมาเลยหรือ?”

“ฉันยังไม่ได้สมัครงานที่ไหนสักแห่งเลย” คำตอบของเธอทำให้จอห์นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆให้ปรากฏอยู่ดี โจลี่สูดลมหายใจลึก เมินหน้าเสียจากเขา จอห์นมักจะรู้อะไรๆที่อยู่ในความคิดของเธอมากกว่าที่โจลี่คิดเสมอและเธอก็ไม่อาจรู้ได้ด้วยว่า เวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

“อันที่จริงฉันก็ได้ประกาศนียบัตรมาแล้วนะ เพียงแต่ไม่รู้จะเอามันไปใช้ทำอะไรดีเท่านั้น”

“ผู้หญิงที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็เป็นภรรยาที่ดีได้ยังไงล่ะ”

แม้ว่ามันจะเป็นบรรยากาศของการยั่วเย้าอยู่ในวาจาประโยคนั้น ซึ่งโจลี่ก็รู้ว่ามันเป็นคำพูดแบบลองเชิง แต่เธอจะบอกให้จอห์นรู้ได้อย่างไร ว่าที่จริงแล้วเธอไม่ได้รักเขาแม้แต่น้อย หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ความรักในรูปแบบเช่นที่เธอต้องการจะรักใครสักคนหนึ่งจนถึงขั้นอยากจะแต่งงานด้วย ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เธอรู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่อาจรักเขาได้

จอห์น ทัลบอท เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงโดยแท้ ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งสามารถพึ่งพาอาศัยได้อีกด้วย เพียงแค่มองใบหน้าคล้ำๆแต่สะอาดเอี่ยมและคมคายขณะนี้ ยังทำให้โจลี่อดสงสัยตัวเองไม่ได้ ว่าเธอเสียสติไปแล้วหรือที่ไม่คว้าผู้ชายคนนี้ไว้...ผู้ชายคนที่รอคอยเธอด้วยความซื่อสัตย์ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านไป

เธอไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าจอห์นมีพลังดึงดูดเธอให้เข้าไปหาเขา แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้น ไม่มีเสียงระฆังวิวาห์ หัวใจของเธอไม่ได้เต้นรัวแรงขึ้นกว่าเดิมแม้แต่น้อย โดยเฉพาะยามที่เขากกกอดร่างเธอไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยที่เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเธอจะยังฝืนใจรับปากแต่งงานกับเขา

“คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมผมถึงไม่ได้มอบแหวนไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่คุณอยู่มหาวิทยาลัย...?”เสียงห้าวๆเรียบๆเอ่ยถามขึ้น

โจลี่พยักหน้ารับ รู้สึกละอายใจอยู่ไม่น้อยกับความคิดของตน จนไม่กล้าตอบเขาออกมาเป็นคำพูด

“ผมรู้ว่าคุณชอบผม อาจจะถึงขั้นเคยรักผมก็ได้ แต่ผมก็รู้ว่ามันเป็นเพียงความรักวูบๆวาบๆตามประสาเด็กสาวเท่านั้น ไม่ได้จีรังยั่งยืนอะไร สรุปก็คือคุณไม่ได้รักผมอย่างจริงใจนั่นเอง”

สีหน้าของโจลี่เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมและจอห์นก็เชยปลายคางที่พยายามซุกแนบอกไว้ขึ้นเมื่อกล่าวต่อว่า

“ตอนนั้นคุณเพิ่งสิบแปดและผมก็ยี่สิบสี่ ผมคิดว่า...มันน่าจะยุติธรรมกว่า ถ้าจะรอจนกว่าคุณเรียนจบและได้รับปริญญาเสียก่อน แต่นั่นละนะ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกัน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอเพิ่มพูนขึ้นมาได้ จริงไหม...โจ?”

“ฉันมีความรู้สึกว่า ตัวเองมันช่างต่ำช้าเสียจริงๆ จอห์น” โจลี่พูดเสียงเบา “แต่ฉันไม่ได้รักคุณแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าฉันจะแคร์คุณมากกว่าผู้ชายคนไหนๆที่เคยคบมาก็ตาม พูดง่ายๆก็คือ ฉันรักคุณตามแบบของฉันเท่านั้น”

นิ้วแข็งๆจิกลงบนนวลเนื้อเนินไหล่ มันเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บช้ำลึกๆในใจ ที่แม้จะไม่ได้ปรากฏออกมาทางสีหน้าก็ตาม และแล้ว จอห์นก็ปล่อยมือจากโจลี่กระแทกตัวลงพิงอยู่กับต้นไม้

“ความรู้สึกที่คุณเป็นอยู่ มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขไปได้นานหรอก” ใบหน้านั้นแม้จะฉาบยิ้ม แต่ก็เป็นยิ้มที่ฝืนใจเต็มที “เอาละ แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปล่ะ จะอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆก่อนหรือยังไง?”

“เห็นจะไม่หรอก” โจลี่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ตอนแรกคิดว่า ถ้าฉันกลับมาอยู่ที่บ้านไร่ มันจะช่วยให้ฉันสามารถรวบรวมความคิดต่างๆได้ คือฉันมีความรู้สึกว่า หลังจากที่ต้องไปคร่ำเคร่งกับเรื่องการเรียนเรื่องการบ้าน แล้วก็ทำงานอะไรที่มันเป็นการทดสอบความรู้ในวิชาที่เรียนมาเป็นเวลาเกือบสี่ปี มันเหมือนกับมีใครสักคนช่วยส่งฉันขึ้นฝั่งมากกว่า ฉันคิดว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วทุกอย่างจะต้องเข้ารูปเข้ารอย แต่ดูๆไปแล้ว ฉันกลับรู้สึกว่ามันมีแต่ความสับสนยังไงบอกไม่ถูก เวลานี้ฉันไม่รู้สึกอยากทำงานเลย ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็จะลอยละล่องเกาะพ่อแม่กินอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉันก็ทำให้พ่อแม่ต้องเสียเงินเสียทองเพราะฉันมามากแล้ว”

“อยู่ไปสักพัก เวลามันจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้เองละน่า”

“ฉันก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น...แล้วก็...โดยเฉพาะเรื่องของเราด้วยใช่ไหมจอห์น”

เมื่อได้ยินเสียงเป็นเชิงถามในตอนท้าย จอห์นซึ่งเบือนหน้าจากเธอมองเหม่อออกไปยังทุ่งรวงทองอยู่ ก็หันกลับมามองโจลี่อีกครั้ง ซึ่งทำให้เธอต้องรีบกล่าวต่อว่า

“เอ้อ...ฉันหมายถึงว่า มันจะมากเกินไปไหมถ้าฉันจะขอให้เราเป็นเพื่อนกันต่อไปน่ะ?”

เขาเอื้อมมือมาขยี้เรือนผมเธอ เป็นการกระทำที่เคยชินตั้งแต่ครั้งโจลี่ยังอยู่ในวัยแรกรุ่น

“ได้สิ...เขาพูดยิ้มๆก่อนผุดลุกขึ้นยืน ทำให้โจลี่ต้องพลอยลุกขึ้นตามและยืนเคียงข้างเขาอยู่เงียบๆ “อย่าไปคิดอะไรให้มันมากเกินไปนักเลย แม่หนู” เขาไล้ปลายนิ้วอยู่กับเนียนแก้ม “มันไม่ใช่เดี๋ยวนี้หรอกที่ผมรู้ ว่าคุณไม่ได้รักผมแบบนั้น แต่ถ้าคุณรักผมสิผมอาจตกใจยิ่งกว่านี้แล้วก็อาจระแวงว่าคุณไม่ได้พูดความจริงกับผมก็ได้”

โจลี่ยืดร่างขึ้นแตะจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ ดวงตาหล่อรื้นด้วยหยาดน้ำตา ด้วยไม่อาจอำพรางความรู้สึกของตนไว้ได้อีกต่อไป

“ป้าบริจิตต์คงอยากถลกหนังหัวฉันแน่เลยที่ปล่อยให้คุณหลุดมือไปอย่างนี้”

“อย่าไปเอาชื่อคุณป้าผู้แสนโรแมนติกของคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ดีกว่า” จอห์นพูดปนหัวเราะ

“แหม...ป้าบริจิตต์น่ะยอมตายในร่างสาวทึนทึกอยู่แล้ว คุณจะว่าป้าเป็นคนโรแมนติกได้ยังไงกัน แม่ยังบอกเลยว่า แม่คงต้องแปลกใจมากถ้าได้ยินว่าป้าบริจิตต์เคยถูกจูบ”

“คุณอย่าไปเชื่อเลย...อย่างน้อยป้าของคุณก็จะต้องเป็นคนที่รู้ดีกว่าใคร ว่าความรักที่แท้จริงน่ะเป็นยังไง” คำพูดของเขาสร้างความงุนงงให้กับโจลี่อยู่ มันคล้ายกับจอห์นต้องการให้เธอคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวเองให้มากขึ้น “เอาละ...ป่านนี้ลุงเรย์ คงสงสัยแล้วว่าผมหายไปไหน เพราะฉะนั้น ผมไปก่อนดีกว่า”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel