บทที่ 1
ม้าด่างน้ำตาลขาวสูงสง่าตัวหนึ่ง ดูจะไม่ใคร่เต็มใจนักกับแรงกระชับของสายบังเหียน ที่ทำให้มันต้องผละออกจากต้นหญ้าเขียวชอุ่ม หวานกรอบที่พัวพันอยู่กับข้อเท้า มันผงกหัวเป็นจังหวะขณะดุ่มเดินไปตามเส้นทางเล็กๆขรุขระ ชีวิตที่ผ่านฤดูร้อนมาถึงสิบห้าช่วงปี ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อนโยน บัดนี้ มันไม่ได้ยืดคออวดแผงขนสีน้ำตาลสีน้ำตาลขาว หรือกัดเหล็กคาดปากอีกต่อไป รูปร่างที่อ้วนพีขึ้นทำให้มันออกจะเกียจคร้าน อยากจะออมแรงไว้ไล่แมลงที่มาไต่ตอมและเอาไว้ดึงหญ้าสดหวานกรอบขึ้นมาขบเคี้ยว เพื่อให้มันสามารถยืนยงคงชีวิตไว้ ต่อสู่กับฤดูหนาวของเซ้าธ์ ดาโกต้า ต่อไปอีกสักปีจะดีกว่า
สำหรับเจ้าม้าแสนรู้นั้น มันไม่จำเป็นจะต้องมองดูปฏิทินก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ขณะนี้เดือนกันยายนกำลังใกล้จะหลีกทางให้เดือนตุลาคมเข้ามาแทนที่เต็มทีแล้ว มันเพียงแค่มองดูต้นไม้กับใบสีเขียวสด ซึ่งบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีทองกับสีส้ม หรือเพียงแค่เหลือกตาคู่สีน้ำตาลอ่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามใส มองดูฝูงนกที่เริ่มรวมตัวกัน เพื่อที่จะโยกย้ายถิ่นที่อยู่ลงไปทางทิศใต้ อันเป็นสัญญาณแรกของฤดูหนาวมันก็รู้ได้แล้ว ทุ่งข้าวสาลีที่อยู่ถัดไปนั้น ยามนี้เหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่ง ริ้วรวงที่หนั่นด้วยเมล็ดสีทองค้อมลงแทบจรดพื้นดิน อากาศยังอบอุ่นอยู่มาก แต่ในยามค่ำคืนก็ยังคงความหนาวเย็นอยู่ ขณะนี้ ขนหยิกๆเริ่มขึ้นแซมอยู่ทั้งตัวเจ้าม้าด่างแล้ว เป็นประหนึ่งผ้าห่มธรรมชาติที่ช่วยให้มันอบอุ่นจากสายลมตะวันออกเฉียงเหนืออันเย็นเยือกที่กำลังจะกล้ำกรายเข้ามา
ส้นเท้าข้างหนึ่งจิกลงตรงข้างตัวมันแรงๆ เจ้าม้าส่งเสียงคำรามอย่างไม่ใคร่พอใจก่อนที่จะออกวิ่งเหยาะย่าง น้ำหนักที่อยู่บนหลังมันค่อนข้างเบาและอุ้งมือที่กระชับสายบังเหียนอยู่ก็อ่อนโยน เจ้าม้าด่างกระดิกหูสีน้ำตาลขึ้น ขณะที่นกรูสเตอร์สีสวยบินตัดหน้ามันไป แต่ฝีเท้าที่เหยาะย่างไม่ได้ลดลงเลย คนขี่ตบเบาๆลงตรงข้างคออย่างชมเชย พร้อมทั้งรั้งสายบังเหียนไว้ เจ้าม้าด่างสูงอายุดูจะดีอกดีใจอยู่ ที่ไม่ต้องวิ่งเหยาะย่าง เพียงแค่เปลี่ยนเป็นเดินให้ช้าลงเท่านั้น
สาวน้อยที่นั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าสูดลมหายใจลึก ทิ้งสายบังเหียนในมือลงและยกมือขึ้นท้าวสะเอวแทน ช่วงขาที่เปลือยเปล่าห้อยลงมาจากข้างตัวม้าที่อ้วนพี ขณะที่เธอนั่งสง่าอยู่บนหลังของมัน ผิวเนื้อที่อยู่นอกเสื้อตัวสั้นสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน อาบละไอแรงร้อนอยู่ทั่ว ถ้าเธอจะสังเกตถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไป เธอจะได้เห็นสัญญาณของฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังคืบคลานเข้ามา เช่นเดียวกับเจ้าม้าตัวนั้น แต่ขณะนี้ สายตาของเธอเพียงแต่มองผ่านๆไป คล้ายกับมองแต่ไม่เห็นอะไรเลย
เธอเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่น เรือนร่างสมสัดส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป ส่วนสูงประมาณห้าฟุตสี่นิ้ว ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยของส่วนสูงที่เหมาะสมกับรูปร่าง เรือนผมสีน้ำตาล สีเดียวกับดวงตาคู่งาม ตัดเป็นทรงแบบผู้ชาย ซึ่งทำให้เรือนผมหยิกหยักศกค่อนข้างหนานั้น ดูราวกับกรอบที่ล้อมใบหน้ารูปไข่ไว้และใบหน้านี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นใบหน้าที่สวยเรียบๆ ไม่มีสิ่งที่เด่นหรือเตะตาผู้พบเห็น ให้ถึงกับตะลึงจ้องมองอะไรนัก เพียงแต่เป็นใบหน้าที่เมื่อพิศจึงจะเห็นสวย
เมื่อครั้งยังเยาว์วัยกว่านี้ โจลี่ อังตัวเนตต์ สมิท เคยร่ำร้องที่ตัวเองไม่ได้สะสวยเช่นเด็กสาวในวัยเดียวกันกับตน และพ่อก็มักจะรวบร่างเธอเข้าไว้ในอ้อมกอด พูดปลอบด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าแกมหัวเราะว่า
“ก็หนูมีดวงตาสวยๆคู่นี้ไว้ดูแล้วนี่ลูก มีจมูกโด่งๆไว้หายใจ ไว้ดมกลิ่น มีปากไว้พูดไว้กิน ฟันก็เรียบสวยทั้งชุดออกอย่างนี้...” และแล้ว เขาก็จะเชยคางลูกสาวขึ้นไว้พิจารณาใบเล็กๆนั้นอย่างใกล้ชิด น้ำเสียงที่พูดเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “อ้อ แล้วก็เท่าที่พ่อนับครั้งสุดท้ายนะ หนูมีจุดกระอยู่สองพันสี่ร้อยสามสิบเจ็ดจุด หนูควรจะขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่งเลยนะ เพราะพระองค์เท่านั้นคือผู้ที่โปรยฝุ่นสีทองไว้บนใบหน้าหนูอย่างนี้”
สีหน้าของสาวน้อยจะบูดบึ้งหนักยิ่งขึ้น ไม่ได้พอใจกับใบหน้าตกกระของตนเองเลยจนนิดเดียวและพ่อก็จะแหนบตรงมุมปากให้เธอแยกยิ้มออกมา
“ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็ยังประทานลักยิ้มคู่นั้นมาให้อีกด้วยนะ” พ่อจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิม แม้โจลี่จะรู้ว่าพ่อพูดเพื่อเอาใจ แต่กระนั้น ความรู้สึกของสาวน้อยก็ดีขึ้นมาก
จนกระทั่ง เมื่อเจริญวัยเป็นสาวขึ้น เธอจึงได้ตระหนักว่า สิ่งที่พ่อได้พยายามทำก็เพื่อที่จะให้เธอยอมรับสภาพในรูปร่างหน้าตาของตนเองที่เป็นอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งเมื่อมาถึงเวลานี้ โจลี่ก็เลิกคิดถึงทั้งใบหน้าที่ตกกระกับลักยิ้มสองข้างแก้ม ที่พ่อชมนักชมหนาว่าน่ารักไปนานแล้ว
แต่กระนั้น บรรดาเพื่อนชายที่เคยคุ้นมาแต่เยาว์วัยก็ได้พบว่าโจลี่เป็นนักฟังที่ดี มีรอยยิ้มเกลื่อนอยู่บนใบหน้าเสมอและสามารถพูดคุยด้วยความรู้สึกจริงใจ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งหัวเราะด้วยจริตกิริยาเช่นสาวแรกรุ่นคนอื่นๆ ดังนั้น โจลี่จึงเป็นผู้หญิงประเภทที่เพื่อนชายจะเชิญให้ไปพบกับแม่ที่บ้าน ในขณะที่เพื่อนสาวในวัยเดียวกันได้รับเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้
แต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องเล่าขานกันถึงเบื้องหลังงานปาร์ตี้บางงาน โจลี่ก็ไม่ใคร่แน่ใจเท่าไรนักว่าเธอจะชอบและก็มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าหาความจริงในเรื่องนี้ด้วยตนเอง
วันนี้ เธอกลับมาบ้านแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในมหาวิทยาลัยเกือบสี่ปี สำเร็จการศึกษา รับปริญญามาเรียบร้อย แต่...แล้วอย่างไรต่อไปล่ะ...เธอจะทำอะไรต่อไป...? ลึกลงไปในใจ โจลี่รู้สึกอ่อนใจเต็มที เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง
โจลี่บอกตัวเองว่า เวลานี้เธอกลับมาถึงบ้านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกเปลี่ยนไปหมด ทั้งๆที่สภาพก็ยังคงเดิม
บ้าน...บ้านซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ถึงสามร้อยหกสิบเอเคอร์ ห่างจากเมืองแยงตันใน เซ้าธ์ ดาโกต้า หกสิบไมล์ บนแผ่นดินผืนนี้ นับแต่วาระที่โจลี่ลืมตาขึ้นดูโลก ก็ได้พบว่า เป็นฟาร์มที่พ่อแม่ได้สร้างขึ้น มันเป็นชีวิตที่แสนสุขพอๆกับที่แสนลำบาก ซึ่งความแตกต่างระหว่างช่วงแห่งความสุขและความทุกข์ในนั้น เป็นไปตามบัญชาของสภาพดินฟ้าอากาศและผลของมัน อันจะเกิดแก่พืชไร่ แต่กระนั้น มันก็เป็นชีวิตของพ่อมา ไม่ใช่ชีวิตของเธออยู่นั่นเอง
เจ้าม้าด่างก้มหน้าก้มตาเคี้ยวหญ้าอ่อนที่ลอยยอดเด่นล่ออยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่ โจลี่อดที่จะนึกขันในความตะกลามของมันไม่ได้
“นี่ สเก้าท์...ถ้าแกขืนกินต่อไปนะ ฉันว่าท้องแกจะต้องระเบิดแน่” โจลี่เตือนเจ้าม้าด่างคู่ใจด้วยน้ำเสียงจริงจัง “โธ่ เจ้าแก่สเก้าท์เอ๊ย...!” เธอถอนหายใจแรงๆขณะกระตุ้นให้มันเดินออกจากที่ “แกเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเลยนะ...ก็คงเหมือนฉันนั่นแหละ...ใครก็ตามที่เคยพูดไว้ว่า...คนเราเมื่อออกจากบ้านแล้ว ไอ้เรื่องจะหวนกลับมาอยู่ใหม่น่ะมันยาก... เขาก็พูดได้ถูกต้องจริงๆ”
พ่อแม่ของเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพังตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาและในที่สุด...ก็คุ้นชินกับชีวิตแบบนั้นเสียแล้ว ดูเหมือนทั้งพ่อและแม่ไม่รู้จะปฏิบัติต่อโจลี่อย่างไรเสียด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆอีกต่อไป...แต่ในสายตาของบุคคลทั้งสองเธอก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่อยู่ดี มาเดอเลน พี่สาวซึ่งโต
กว่าเธอเพียงหนึ่งปีก็ได้แต่งงานและมีลูกแล้วถึงสองคน ซึ่งก็เท่ากับว่า ชีวิตของพี่สาวได้ตัดขาดจากชีวิตเธอไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ความเปลี่ยนแปลงคือสิ่งเดียวที่แน่นอนที่สุดชีวิตของคนเรา...และนั่นหมายรวมถึงจอห์น ทัลบอทด้วย...