ตอนที่ 7 คุณแม่ฉันไม่ได้ป่วยเอง
รานีพยุงนับหนึ่งที่เนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปด้วยรอยไม้เรียวเป็นเส้นๆ
แล้วพาเธอกลับไปที่ห้องด้วยท่าทีสงสารและดูห่วงใย
แต่พอพ้นสายตาของธำรงแกก็บีบแขนนับหนึ่งจิกเล็บคมลงบนผิวเธอแล้วผลักเธอเข้าไปในห้องอย่างไม่ปราณี ด้วยสีหน้ายิ้มร้าย
" หึ แกไม่ต้องกินข้าวกินน้ำแล้ว อดไปสักสองสามวันจะได้สำนึก ว่าไม่ควรอวดดี "
นับหนึ่งจ้องหน้าแม่เลี้ยงด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างเคียดแค้น เพราะเธอก็เป็นคนไม่ยอมคนเช่นกัน
เมื่อถูกจ้องแบบนั่น รานีอึ้งไปสามวิ แกรู้สึกเกลียดแววตาของนับหนึ่งมาก
เพราะมันทำให้แกนึกถึงแววตาของรรินทร์แม่ของนับหนึ่ง
แกเดินเข้าไปบีบคางเรียวเล็กของนับหนึ่งอย่างแรง แล้วเอ่ยอย่างลืมตัวด้วยแววตาแดงก่ำ
" นังนับหนึ่ง แกกล้าจ้องฉันด้วยแววตาแบบนี้เหรอ ห๊ะ ระวังแกจะได้ตายเหมือนแม่ของแกนะ "
นับหนึ่งถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอย่างไม่เกรงกลัว
" หรือว่าแท้จริงแล้ว คุณแม่ฉันไม่ได้ป่วยเองและไม่ได้ตรอมใจจนจากไป "
รานียิ้มร้ายอย่างเยือกเย็น
" ถ้าใช่ แล้วแกจะทำไม แกจะทำอะไรฉันได้ อยากแก้แค้นเหรอ
หึ ฝันไปเถอะ ก่อนที่แกจะแก้แค้นฉัน ฉันจะเป็นฝ่ายทำให้แกตายอย่างช้าๆเหมือนแม่แกก่อน
ถ้าจะให้ดี อย่าแม้แต่จะคิด เพราะหากแกคิดล่ะก็ แกได้อยู่อย่างตกนรกทั้งเป็นแน่ "
นับหนึ่งโกรธแค้นมาก เมื่อรู้ว่าแม่ของเธอไม่ได้เสียชีวิตปกติ แต่เสียชีวิตเพราะคนตรงหน้า
เธอจ้องรานีด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างไม่เกรงกลัว เพราะทุกวันนี้เธอก็อยู่อย่างคนตกนรกทั้งเป็นแล้ว
[ คุณแม่หนูขอสาบาน ว่าจะไม่ยอมตาย หากไม่ได้ส่งผู้หญิง ที่ทำให้คุณแม่ต้องทนเจ็บปวด ทรมานจนลมหายใจเหือกสุดท้ายไปลงนรก หนูสัญญา ว่าสักวันหนูจะทำให้มันชดใช้กรรมที่มันก่อทั้งหมด ]
หนี้แค้นนี้เธอต้องชำระให้แม่ หากไม่ได้ชำระชาตินี้เธอตายตาไม่หลับแน่
รานีอารมณ์เสียและโกรธมากเมื่อนับหนึ่งจ้องหน้าแกอย่างไม่เกรงกลัว
แกจึงง้างมือขึ้น ตบหน้านับหนึ่งดัง เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพื่อระบายโทสะ จากนั้นแกก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดมือเบาๆ
" โอ้ ใบหน้าสกปรกของแกเปื้อนมือฉันจนได้ จะสั่งสอนแกก็กลัวเสนียดจะติดมือ
เอาไว้ฉันคิดได้แล้วจะมาบอกนะว่าจะให้แกตายทั้งเป็นยังไง ตอนนี้แกยังโชคดีที่ฉันยังคิดอะไรไม่ออก "
เอ่ยจบแกก็ยิ้มเยาะออกมาก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปแล้วล็อกประตูห้องของนับหนึ่งไว้
จากนั้นแกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปหาครูประจำชั้นของนับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
( คุณครู ฉันเป็นผู้ปกครองของนับหนึ่งนะคะ ช่วงนี้นับหนึ่งไม่สบาย คงต้องลาพักฟื้นที่บ้านสักอาทิตย์ก่อนค่ะ รบกวนคุณครูลาให้ลูกนับหนึ่งด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ )
พิมพ์เสร็จแกก็กดส่งออกไป ทางครูตั้มพอได้รับข้อความ ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
[ นับหนึ่งเพิ่งจะดีขึ้น เพิ่งออกจากโรงพยาบาลนะ หรือว่าอาการจะทรุดหนัก ]
เมื่อคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่อาการนับหนึ่งจะทรุด ครูตั้มเลยพิมพ์ตอบกลับไปว่า
( ได้ครับ )
รานีเห็นข้อความแล้วก็ยิ้มร้ายออกมาที่มุมปาก แล้วเดินออกไปจากบริเวณหน้าห้องนับหนึ่ง
นับหนึ่งอยู่ในห้องหยิบยาขึ้นมาเปิดฝาออกแล้วเริ่มหยดยาลงบนรอยแผลสด
พร้อมกับกัดฟันแน่น ซี๊ดปากเป็นพักๆ เมื่อรู้สึกเจ็บแสบบริเวณแผล เธอนั่งทายาคนเดียวอย่างเงียบๆ
ในเมื่อรู้แล้วว่าแม่ถูกคนฆ่าตาย ดังนั้นเธอจะต้องอยู่ให้เป็น ใจเย็นให้พอ เพื่อรอวันแก้แค้น
ความโหดร้ายของคนทำให้เธอคิดได้และสอนให้เธอรู้จักมีเล่ห์เหลี่ยม เรียนรู้ที่จะอยู่รอด
เพราะเธอยังต้องพึ่งพาบ้านหลังนี้เป็นที่พักพิงสุดท้ายของเธอ เพื่อรอวันบรรลุนิติภาวะ
พอทายาเสร็จก็นั่งพิงขอบเตียงอย่างเงียบๆ ค่ำๆก็ขึ้นมานอนบนเตียง
เธอนอนอย่างเจ็บปวดทรมานเพราะรอยแผลเต็มตัวไปหมด
เธอถูกขังอยู่ในห้องสีเหลี่ยมแคบๆ ไม่มีข้าวให้กิน ไม่มีน้ำให้ดื่มมาหลายวันแล้ว
พอเข้าสู่วันที่สี่ เธอหิวจนตาลาย ร่างกายอ่อนล้า มึนหัวจนลุกไม่ไหว
จึงคลานลงจากเตียงไปเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำ แล้วเอาฝ่ามือมารอง เพื่อดื่มประทังชีวิต
พอดื่มจนอิ่มท้อง ก็เดินกลับออกมา ใบหน้าที่เคยสวยใส ตอนนี้ซีดเซียวจนไม่น่ามอง
ริมฝีปากขาวซีดแห้งเป็นขุย สภาพเธอในตอนนี้ ไม่ต่างกับศพเดินได้เลย
เธอนอนบนเตียงอย่างไม่รู้เวลาเพราะเธอไม่มีนาฬิกาและยิ่งไม่ต้องถามถึงโทรศัพท์
ในยุคที่เด็กทุกคนใช้โทรศัพท์เครื่องแพงๆ แต่เธอกลับไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ที่เป็นปุ่มกดเลย
ชีวิตเธอไม่ต่างจากการติดคุกเลย ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลถึงไหนแล้ว
เพราะไม่เคยเล่นแอปพลิเคชั่นอะไรเลย ชีวิตเธอเหมือนอยู่ในยุค 90 อาศัยสอบถามเพื่อนเอา
ตอนนี้เธอแค่ต้องการมีชีวิตรอด ขอแค่ไม่อดตายก็นับว่าโชคดีแล้ว
และโชคดีที่ห้องแคบๆนี้มีห้องน้ำในตัว ยังมีน้ำให้ดื่ม แม้มันไม่ใช่น้ำสะอาดที่ใช้ดื่มกิน แค่พอดื่มประทังความหิวให้เธอได้ก็พอแล้ว
สามวันต่อมา เมื่อครบกำหนด รานีก็เอาข้าวคลุกปลากระป๋องมาให้เธอที่ห้อง แล้ววางลงบนพื้น
นับหนึ่งหิวโซจนรีบคลานลงมาจากเตียงแล้วตักข้าวเข้าปากอย่างไม่รีรอ เพราะเธอต้องการมีชีวิตอยู่
รานีนั่งยองๆมองนับหนึ่งที่สภาพดูไม่ได้แล้วเอ่ยถามขึ้น
" ทีนี้แกสำนึกได้หรือยัง "
" ค่ะ ต่อไปหนูจะเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ หนูจะยอมทำทุกอย่างที่คุณแม่ต้องการเลย "
นับหนึ่งผงกหัวพร้อมกับเอ่ยตอบเสียงแหบ
รานีได้ยินดังนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างพอใจ
" สำนึกได้ก็ดีแล้ว จริงๆถ้าแกเชื่อฟัง ฉันก็ไม่อยากจะทำอะไรแกหรอก เพราะอย่างน้อยแกก็มีประโยชน์อยู่ "
" ค่ะ "
รูปร่างผอมโทรม กับท่าทางหิวจัดของนับหนึ่ง ทำให้รานีรู้สึกสะใจมากที่ลูกของของผู้หญิงที่แกเกลียดกลายเป็นแบบนี้
อิงฟ้าเข้ามาในห้อง เห็นนับหนึ่งดูไม่เหมือนนับหนึ่งคนเดิม เธอยิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วเอ่ย
" นับหนึ่งดูสภาพเธอตอนนี้สิ ไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดข้างถนน ที่หิวโซจนผอมติดกระดูกเลยอ่ะ ฮิๆ สมน้ำหน้าใครใช้ให้เธอหนีไปนอนบ้านผู้ชายล่ะ "
นับหนึ่งไม่สนใจคำใส่ร้ายป้ายสีของอิงห้า ยังคงเคี้ยวข้าวต่อไป แม้จะเจ็บใจแค่ไหนเธอก็ยิ้มรับเหมือนคนโง่คนหนึ่ง
" ช่วงนี้สามีฉันไปทำงานต่างจังหวัด เขาไม่ได้สั่งอะไรไว้ ไว้วันจันทร์ ฉันค่อยมาปล่อยแกออกไปนะ "
" ค่ะ "
" โอ้ คุณแม่ นับหนึ่งสำนึกได้แล้วจริงๆด้วยค่ะ
ดูเธอผงกหัวเหมือนหมาน้อยแสนรู้เลย ช่างเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
การลงโทษให้เธออดข้าวอดน้ำมันได้ผลดีเกินคาด ก้าวร้าวสักนิดก็ไม่มีแล้ว ดีจริงๆเลยค่ะ "
" อือ ในเมื่อมันเชื่อฟังก็ดีแล้ว แม่จะได้ไม่เหนื่อย ไป เราออกไปกันเถอะ "
" ค่ะ "
แล้วสองแม่ลูกก็พากันเดินออกไปจากห้องของนับหนึ่ง ส่วนนับหนึ่งก็ทานข้าวคลุกปลากระป๋องจนหมดจาน
หลังจากนั้น นับหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ กลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย
พอถึงวันจันทร์แม่เลี้ยงก็มาปล่อยเธอออกไปเรียนตามปกติ
เธอเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของแม่เลี้ยงทุกอย่างและยอมเป็นทาสรับใช้ให้กับอิงฟ้าในเวลาที่ไปโรงเรียน เธออดทนทำแบบนี้จนเรียนจบมัธยมต้น