ตอนที่ 6 ขอบคุณสำหรับตบนี้
นับหนึ่งนอนหมดสติอยู่ในห้องน้ำแคบๆที่เย็นยะเยือก รอบตัวมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรเลย
เช้าวันต่อมา รถดูดส้วมมาทำการดูดส้วมตามที่ได้รับแจ้ง หลังจากรถดูดส้วมทำงานเสร็จคนขับก็ขับรถออกจากโรงเรียนไป ภารโรงเลยเอาคีมตัดเหล็กมาตัดโซ่ทิ้งพร้อมกับบ่นงึมงำคนเดียว
" ใครมาล็อกกุญแจไว้เนี่ย "
พอเปิดประตูเข้าห้องน้ำได้ แกก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อดูห้องที่เขียนป้ายติดว่า ห้องน้ำเสีย
พอเดินไปถึงหน้าห้องที่มีป้ายติเด แกก็ดึงเชือกที่มัดประตูออกแล้วเอ่ย
" เล่นอะไรกัน ห้องน้ำเสียก็แค่เขียนป้ายติดไว้ก็จบ มาทำให้ยุ่งยากมัดด้วยเชือกทำไม "
แกบ่นไปแกะเชือกไป จากนั้นแกก็ผลักประตูเข้าไป พอเห็นนับหนึ่งนอนแน่นิ่งในสภาพเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปทั้งตัว เนื้อตัวมอมแมม ใบหน้าดูซีดเซียวจนไม่น่ามอง แกตกใจจนช็อกไปเลยแล้ววิ่งออกไปอย่างไวด้วยความตกใจกลัวอย่างขาดสติ เพราะคิดว่านับหนึ่งเสียชีวิตแล้ว
แกวิ่งไปที่บ้านพักครูพละที่แกรู้จักแล้วเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง
" ครูตั้ม ครูตั้มตื่นเร็ว ครูตั้มๆ "
ครูพละเดินออกมาเปิดประตูแล้วเอ่ยถามขึ้น
" อ้าวลุงตู่ มาเรียกเสียงดังแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมถึงหน้าตาตื่นอย่างกับเห็นผีล่ะ "
" ครู มี มีนักเรียนเสียชีวิตในห้องน้ำ "
" ว่าไงนะ! ห้องน้ำไหน รีบพาผมไปดูเร็ว "
" ตามผมมาครับ "
แล้วทั้งสองก็วิ่งไปดูที่ห้องน้ำ พอครูตั้มเห็นก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
" นับหนึ่ง! "
แล้วแกก็รีบอุ้มนับหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยสั่งภารโรงขณะที่อุ้มนับหนึ่งออกจากห้องน้ำ
" ลุงช่วยโทรเรียกรถพยาบาลมาเร็ว "
" ครับ "
แล้วลุงแกก็ล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหารถฉุกเฉินทันที
ไม่นานรถฉุกเฉินก็ขับเข้ามาในโรงเรียน ครูตั้มก็พานับหนึ่งขึ้นรถพยาบาลทันที
เจ้าหน้าที่รีบช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นับหนึ่งแล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
พอไปถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็เอานับหนึ่งลงจากรถแล้วเข็นเธอเข้าไปทำการรักษาในโรงพยาบาล
ส่วนครูตั้มที่เป็นครูประจำชั้นของนับหนึ่งก็ไปทำเรื่องเข้ารักษาให้ตัวให้ จากนั้นก็แจ้งลงกลุ่มผู้ปกครอง
( แจ้งผู้ปกครองของนับหนึ่งนะครับ ตอนนี้น้องมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนรายละเอียดอื่น เดี๋ยวผมจะแจ้งอีกทีนะครับ )
รานีกำลังเตรียมอาหารเช้าได้ยินข้อความแจ้งเตือนในโทรศัพท์ แกเลยเปิดเข้าไปดู พอเห็นข้อความดวงตาแกก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที
[ นี่นังนับหนึ่งเป็นอะไร ทำไมถึงเข้าโรงพยาบาล อย่าบอกนะว่าถูกทำมิดีมิร้าย หึ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ]
แกพึมพำในใจบใบหน้าปรากฏรอยยิ้มร้ายๆออกมา ธำรงเดินเข้ามาหาภรรยาเห็นแกยืนยิ้มอยู่เลยเอ่ยถามขึ้น
" มีเรื่องน่ายินดีอะไรเหรอถึงทำให้คุณยิ้มได้ "
ได้ยินเสียงสามีแกก็รีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวานทันทีแล้วเอ่ย
" ไม่มีอะไรค่ะ รานีแค่ดีใจที่วันนี้จะได้ไปส่งลูกไปโรงเรียนพร้อมกัน "
" ถ้าไม่ใช่เรื่องนับหนึ่งผมก็คงไม่ลางานหรอก ผมว่าเธอเริ่มโตแล้วมันถึงเวลาที่ผมควรจะสอนให้เธอรู้หน้าที่ ไม่งั้น คงจะเสียผู้เสียคนกันพอดี "
" ค่ะ แต่ฉันว่าคุณรอให้เธอกลับมาที่บ้านก่อนแล้วค่อยๆสอนจะดีกว่านะคะ อย่าไปถามในโรงเรียนหรือไปถามครูเลยค่ะ เรื่องภายในครอบครัวไม่ควรให้คนนอกรับรู้นะคะ "
จริงๆแล้วแกกลัวสามีจะรู้ว่านับหนึ่งอยู่โรงพยาบาล แล้วมันจะทำให้สามีใจอ่อนเพราะความสงสารลูก
" ที่คุณพูดก็ถูก ผมร้อนใจไปหน่อยขอบคุณนะที่คอยเตือนผม "
" มันเป็นหน้าที่ของภรรยาอยู่แล้วค่ะ ฉันทำอาหารเสร็จแล้ว เราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ "
ธำรงพยักหน้าเบาๆแล้วเดินออกไปนั่งรอทานข้าวเช้าที่โต๊ะอาหาร
ไม่นานอิงฟ้าก็เดินมานั่ง ส่วนคนเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ตักข้าว เสร็จแล้วก็นั่งทานข้าวกันอย่างอบอุ่น
พอทานข้าวเสร็จก็พากันออกไปขึ้นรถแล้วธำรงก็ขับรถออกจากบ้านไป
รานีที่นั่งเบาะข้างคนขับก็จัดการลบข้อความของครูประจำชั้นนับหนึ่งทันที
พอไปถึงโรงเรียนอิงฟ้าก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียนตามปกติ แล้วธำรงก็ขับออกมาจากหน้าโรงเรียน
วันต่อมาครูประจำชั้นของนับหนึ่งขับรถมาส่งนับหนึ่งที่บ้าน แต่ด้วยภาระงานที่สอนรออยู่จึงลงมาส่งนับหนึ่งเข้าบ้านไม่ได้
ธำรงยืนอยู่ในห้องบนชั้นสอง ทันทีที่แกเห็นนับหนึ่งลงจากรถแล้วเดินกลับเข้ามาในบ้าน
แกก็เดินออกไปยืนรอหน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นับหนึ่งกลับเข้ามาในบ้านเห็นพ่อยืนรอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เธอจึงเมินเฉยต่อเขาแล้วเดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในบ้าน
ไม่แม้แต่จะเหลียวมองเลย ทำเหมือนผู้เป็นพ่อเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไม่มีตัวตน
ทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธจนหน้าดำหน้าแดงที่ถูกลูกสาวเมิน
" จะไปไหน แกไม่เห็นเหรอว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้! "
แกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะกดกลั้นอารมณ์ นับหนึ่งยิ้มเยาะออกมาด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะหมุนตัวหันมามองผู้เป็นพ่อ
" กลับห้องค่ะ "
" หายไปคืนสองคืน แกเป็นผู้หญิงไปค้างบ้านคนอื่นโดยไม่บอกพ่อแม่ กลับมาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แกยังเห็นฉันเป็นพ่อแกอยู่มั้ย "
ได้ยินดังนั้นนับหนึ่งรู้สึกเสียใจมาก ที่พ่อของเธอพูดแบบนั้น แทนที่จะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง กลับเอ่ยเสียงแข็ง
ตำหนิทั้งที่ยังไม่รู้อะไรจริงอะไรเท็จ เธอผิดหวังมากขึ้นไปอีก
เลยหัวเราะเยาะตัวเองด้วยความสมเพชแล้วจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ
" หึๆ นี่คงจะเป็นความจริงที่คุณได้รับจากลูกสาวสุดที่รักกับภรรยาคนโปรดของคุณสินะ
คุณช่างเป็นพ่อที่แสนดีลำเอียงเป็นที่หนึ่งจริงๆเลยค่ะ หนูนับถือความเป็นคุณจริงๆ "
เธอเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้อย่างประชดประชัน ไม่แม้แต่จะเรียกธำรงว่าพ่ออีก
" นับหนึ่ง! "
ผู้เป็นพ่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ก้าวเข้ามาแล้วง้างมือขึ้นตบลงบนใบหน้านับหนึ่งเต็มแรง จนนับหนึ่งรู้สึกมึนหัวล้มฟุบลงไปกองกับพื้น
นับหนึ่งจับแก้มที่เจ็บแสบของตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็นทั้งน้ำตา
" ขอบคุณสำหรับตบนี้ ถ้าหนูจำไม่ผิด คุณตบหน้าหนูสองครั้งแล้ว
หนูจะถือว่ามันเป็นกรรมที่หนูต้องชดใช้ที่เอาน้ำเชื้อของคุณมาเกิด
หากอยากจะตบหรือทุบตีทำร้ายอีก ก็เชิญเลย ทำก่อนที่คุณจะไม่มีวันได้ทำมันอีก เชิญ!!! "
นับหนึ่งเอ่ยท้าทายเสียงกร้าวทั้งน้ำตาด้วยท่าทางก้าวร้าว
ธำรงจึงคว้าไม้เรียวที่เตรียมไว้ มาฟาดลงบนตัวนับหนึ่งอย่างไม่ยั้งมือ
รานียืนมองนับหนึ่งถูกฟาดด้วยสีหน้ายิ้มเยาะอย่างสะใจ ไม่แม้แต่จะคิดเข้ามาห้ามปรามเลย
นับหนึ่งนอนคดตัวกอดเข่าตัวเองแน่น โดยไม่ร้องสักแอะ
เธอขมวดคิ้วมุ่นหลับตาลง ขบกรามแน่น อดทนกับความเจ็บปวดจากไม้เรียวที่ฟาดลงบนตัวเธอ
น้ำตาไสๆไหลรินเป็นสายใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
ธำรงตีนับหนึ่งจนไม้เรียวหักถึงจะยอมหยุด จากนั้นก็เอ่ยตะโกนเรียกภรรยาเสียงกร้าว
" รานี รานี! คุณมาลากตัวนับหนึ่งไปขังในห้องเดี๋ยวนี้ ให้มันอยู่แต่ในห้องจนกว่ามันจะสำนึกผิด "
รานีที่ยืนแอบดูอยู่ในห้องนั่งเล่น รีบวิ่งเข้ามาหาสามี แสร้งทำหน้าตกใจที่เห็นนับหนึ่งนอนกองกับพื้นด้วยสีหน้าชีดเซียว
" ว้าย นับหนึ่ง คุณ! นี่คุณตีลูกนับหนึ่งขนาดนี้เลยเหรอ "
" คุณไม่ต้องพูดมาก เอายาให้มันแล้วขังเธอไว้ในห้อง "
" ค่ะๆ "
แกแสร้งทำเป็นเกรงกลัวสามี ทั้งที่ความจริง แกรีบตอบรับเพราะกลัวสามีจะเปลี่ยนใจ