ตอนที่ 13 หรือว่า เธอจะไม่ใช่อิงฟ้าจริงๆ
นับหนึ่งยื่นมือเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้อง แววตาดูลอยๆเหมือนคนไร้วิญญาณความรู้สึก เดินไปยังลานจอดรถโดยไม่พูดไม่จาอีก
คนขับรถหนุ่มเห็นเธอแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงออกมาจากห้องเจ้านายในสภาพไร้วิญญาณเช่นนี้ จนเขาเริ่มสงสัยในสิ่งที่เธอบอกก่อนหน้า
[ หรือว่า เธอจะไม่ใช่อิงฟ้าจริงๆ ]
แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร แค่รู้ว่าเจ้านายพอใจในตัวหญิงสาวมันก็พอแล้ว
เพราะหน้าที่เขาคือ รับส่งและดูแลผู้หญิงของเจ้านายให้ดี หากอยากทำงานโดยไร้ปัญหา เรื่องอื่นเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง
เขาเดินไปเปิดประตูรถให้นับหนึ่ง พอเธอขึ้นไปในรถแล้ว เขาก็กลับขึ้นไปนั่งในที่คนขับแล้วขับรถออกไป
นับหนึ่งนั่งเหม่อลอย ร้องให้น้ำตาไหลไม่หยุดแต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นเลยแม้แต่น้อย
สถานการณ์บีบบังคับให้เธอกลายเป็นคนร้ายกาจ เลือดเย็น ไร้หัวใจ
หากแม้มีโอกาสเพียงน้อยนิด เธอก็จะแก้แค้นผู้ชายคนนี้ ทำให้เขาตกนรกทั้งเป็นพร้อมๆกับแม่เลี้ยงเธอ
ทั้งที่เธอขอร้องอ้อนวอนขอให้เขาปล่อย ขอให้เขาตรวจสอบ ขอให้เขาเห็นใจ
แต่เขากลับไม่ฟังเลย แถมยังขืนใจเธออย่างป่าเถื่อน พูดจาหยาบคาย ไม่ให้เกียรติ ปฏิบัติเหมือนเธอเป็นเครื่องระบายความใคร่ที่ไร้ความรู้สึก
นำพาความอัปยศอดสูมาสู่ชีวิตของเธอ เธอเกลียดพ่อ แค้นแม่เลี้ยง แค้นคนที่ข่มขืนเธอ เกลียดอิงฟ้าที่สมรู้ร่วมคิด
เธอรู้สึกสิ้นหวังและท้อแท้ที่จะมีชีวิตต่อ มีชีวิตอยู่ไปก็ต้องถูกส่งมาอีก สู้ใครก็ไม่ได้ เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน
คนขับรถแอบมองเธอผ่านกระจกหลังเป็นพักๆ ในใจรู้สึกสงสารแต่ทำอะไรไม่ได้
นับหนึ่งเหลือบไปมองหน้าเขาผ่านกระจกหลังแล้วเอ่ย
" พาฉันไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ในห้างหน่อย "
เธอเอ่ยเสียงเรียบในน้ำเสียงและแววตาเจือไปด้วยความสิ้นหวัง
" ได้ครับ "
คนขับรถตอบรับคำแล้วก็ขับไปส่งเธอที่ห้าง พอถึงห้างนับหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
" คุณไปลงไปซื้อให้ฉันหน่อย "
คนขับรถจะปฏิเสธแต่เห็นสภาพนับหนึ่งแล้วก็ได้แต่กลืนคำปฏิเสธลงคอไป
จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าห้างไปโดยไม่ได้ถามว่าเธอจะเอาชุดอะไร ไซซ์ไหน
หลังจากคนขับรถเข้าไปในห้าง นับหนึ่งก็เปิดประตูลงจากรถ
แล้ววิ่งไปหาตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ใกล้แถวนั้นเพื่อขอความเชื่อเหลือ
" คุณตำรวจช่วยหนูด้วยค่ะ หนูถูกแม่เลี้ยงส่งไปขายตัว แม่เลี้ยงหนูเป็นพวกค้ามนุษย์ คุณตำรวจช่วยหนูหน่อยนะคะ หนูขอร้อง หนูไม่อยากกลับไปบ้านแล้ว "
ด้วยสภาพที่ดูไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าก็ฉีกขาด ปกปิดเฉพาะหน้าอก
ทำให้ตำรวจนึกว่าเธอเป็นหญิงเสียสติ แต่ก็ไม่ได้นิ่งดูดายหรือเมินเฉยต่อเธอ
" แล้วแม่เลี้ยงหนูอยู่ไหนล่ะ หนูมีหลักฐานมั้ย ว่าแม่เลี้ยงเป็นพวกค้ามนุษย์ "
เมื่อตำรวจถามถึงหลักฐาน เธอก็นิ่งเงียบไป จะเอาหลักฐานจากที่ไหนล่ะ ในเมื่อเธอไม่มีเครื่องมือเก็บหลักฐานเลย พอเธอเงียบไป ตำรวจก็เอ่ยว่า
" หนูจะแจ้งความเอาผิดมันต้องมีหลักฐานด้วยนะ ไม่งั้นเราอาจจะโดนฟ้องกลับในข้อหาแจ้งความเท็จได้ "
" แต่หนูพูดเรื่องจริงนะคะ หนูถูกส่งไปขายตัวจริงๆ ดูเสื้อผ้าหนูสิ ในร่างกายหนูสามารถตรวจหาDNAของคนที่ข่มขืนหนูได้ ได้โปรดช่วยหนูหน่อยนะคะ "
คนขับรถมาตามนับหนึ่งถึงสถานนีตำรวจ เพราะรู้ว่าคนฉลาดแบบเธอจะต้องมาที่นี่แน่ๆ
แต่เมื่อเห็นเธอมาขอแจ้งความเขาเลยเดินเข้าไปยืนหลังเธอแล้วเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย
" นึกว่าหายไปไหน มาหลบอยู่นี่นี่เอง เรานี่นะ ดื้อจริงๆเลย ป่ะ กลับบ้าน อย่าก่อความวุ่นวายให้คุณตำรวจเขาเลย "
จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้ตำรวจด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเกรงใจ
" ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้ดูแลน้องสาวให้ดี ปล่อยให้มาวุ่นวายถึงนี่
พอดีเธอไม่ค่อยสบายน่ะครับ ทะเลาะกับแม่แล้วหนีออกมา
ตอนนี้ทุกคนกำลังตามหากันจ้าละหวั่นเลย ขอโทษจริงๆครับ "
" อ๋อ ไม่เป็นไรครับ "
ตำรวจเอ่ยตอบเสียงเรียบอย่างไม่สงสัยอะไร
คำพูดของคนขับรถกำลังสื่อให้คนอื่นมองว่านับหนึ่งป่วยทางจิต ทำให้นับหนึ่งโกรธมากเธอจึงรีบเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าอ้อนวอน
" เขาจงใจทำให้หนูถูกมองว่าเป็นคนป่วย คุณตำรวจต้องเชื่อหนูนะคะ หนูไม่ได้บ้า ไม่ได้ป่วยจริงๆ ช่วยหนูด้วยค่ะ หนูขอร้อง "
" หนูเรื่องภายในครอบครัวอย่าให้คนนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยนะครับ "
ตำรวจไม่ได้เชื่อคำพูดของนับหนึ่งเลย นั่นทำให้นับหนึ่งรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจมากๆที่คำพูดตัวเองไม่มีน้ำหนักเลย
ทำให้เธอรู้ว่า สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดของประชาชนตาดำๆคือ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตัดสินคนที่การแต่งตัวภายนอกที่หาใช่เนื้อแท้ภายใน
คนขับรถก็พานับหนึ่งกลับมาขึ้นรถ นับหนึ่งรู้สึกท้อแท้กับชะตาชีวิตของตัวเองมากๆ
พอคนขับเข้ามาในรถแล้วก็เอ่ยตำหนินับหนึ่งยกใหญ่ตวาดใส่ด้วยสีหน้าดุดัน
" นี่คุณทำบ้าอะไร รู้มั้ยว่าการแจ้งความ มันเท่ากับคุณกำลังส่งตัวคุณกับครอบครัวตายทั้งเป็นน่ะ คุณต้องการแบบนั้นเหรอ
อย่าหลงคิดว่าเจ้านายผมใจดี เมตตาคุณมากนักเลย เมื่อไหร่ที่คุณทำให้เขาเดือดร้อน เขาสามารถฆ่าคุณให้ตายทั้งเป็นได้เลย เข้าใจมั้ย "
ลึกๆคนขับรถก็เป็นห่วงนับหนึ่งแหละ แต่เป็นห่วงจนรู้สึกโกรธมาก เพราะเจ้านายเขาไม่ใช่คนทั่วไปจะสามารถทำอะไรได้ แม้แต่ตำรวจก็ไม่มีใครกล้าแตะเลย
นับหนึ่งนั่งนิ่งด้วยแววตาไร้อารมณ์ความรู้สึก แล้วอยู่ๆก็หัวเราะออกมา เอ่ยตวาดเสียงกร้าว
" เหอะๆ ตายทั้งเป็นกันทั้งครอบครัวงั้นเหรอ ดี๊! ฉันต้องการแบบนั้น ต้องการให้พวกเขาตายทั้งเป็น เหมือนกับฉัน
พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวฉัน คุณรู้มั้ย ว่าฉันน่ะ ไม่มีครอบครัว ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กแล้ว
ฉันไม่ใช่อิงฟ้า จะต้องบอกกี่ครั้งพวกคุณถึงจะเชื่อ พวกมันรวมหัวกันหลอกคุณ
คุณก็โง่เชื่อพวกมันงั้นเหรอ ไหนว่ามีอำนาจนักไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ตรวจสอบให้ดี ทำไมต้องมาทำลายชีวิตฉันด้วย "
เธออยากให้อิงฟ้าได้เจอสถานการณ์เดียวกันกับเธอ ถูกคนแปลกหน้าย่ำยีอย่างป่าเถื่อนเหมือนเธอ
คนขับรถเห็นนับหนึ่งเอ่ยเสียงกร้าวทั้งน้ำตาด้วยแววตาดุร้ายอย่างอับจนหนทาง
เขารู้สึกสงสารเธอมาก และเริ่มเชื่อคำพูดของเธอนิดๆแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด
" โอเค ผมจะเชื่อคุณ หากคุณสามารถพาคนที่ชื่ออิงฟ้ามาส่งให้เจ้านายผมได้ คุณก็จะไม่ใช่อิงฟ้าที่เจ้านายต้องการอีก "
เอ่ยจบเขาก็ขับรถออกไป นับหนึ่งนิ่งเงียบตลอดทาง เธอจะเอาตัวอิงฟ้ามาได้ยังไง ในเมื่อเธอยังอยู่ในการควบคุมของแม่เลี้ยง
ทางเดียวที่อิงฟ้าจะถูกส่งไปให้ไอ้บ้ากามนั่นคือ เธอจะต้องหนีออกไปจากบ้านหลังนี้
แต่มันเหลืออีกตั้งเดือนกว่า กว่าเธอจะเรียนจบมัธยมปลาย
ดังนั้นเธอต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับไอ้บ้ากามนั่นน้อยที่สุด
พอถึงบ้าน คนขับรถก็จอดลงตรงหน้าบ้าน แล้วเดินลงมาเปิดประตูให้ นับหนึ่งก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไป
เช้าวันรุ่งขึ้น แม่เลี้ยงตื่นขึ้นมาทำอาหารแล้วเดินมาเคาะประตูห้องนับหนึ่งพร้อมกับเอ่ยเรียกเสียงหวานอย่างเอาอกเอาใจ
" นับหนึ่ง ลูกตื่นหรือยังจ้ะ ลงมาทานข้าวได้แล้วนะ วันนี้คุณแม่ทำซุปบำรุงให้เราด้วยนะ "
นับหนึ่งใส่ชุดนักเรียนเดินออกมาเปิดประตูพร้อมกับเอ่ยอย่างเย็นชา
" ในเมื่อพ่อได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว คุณเองก็มีเงินใช้มากมาย ก็เอายาคุมฉุกเฉินมาให้หนูด้วยค่ะ "
รานีระบายยิ้มออกมาแล้วเอ่ย
" แน่นอนว่าแม่เตรียมไว้ให้ลูกแล้ว ต่อไปนี้ลูกต้องทานอาหารดีๆบำรุงร่างกายให้มากๆ
เพราะทางนั้นเขาติดใจลูกมาก บอกว่ากลางเดือนจะมารับลูกไปปรนนิบัติอีกจ้ะ "
นับหนึ่งยิ้มอ่อนอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง
" ได้ค่ะ "
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เจอบ่อย จะเป็นเจอครั้งสุดท้ายในชีวิตเธอ
รานีพอใจมากที่นับหนึ่งไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านใดๆ แล้วทั้งสองก็ลงไปชั้นล่าง
บนโต๊ะอาหารมีธำรงนั่งรอทานข้าวกับลูกสาวอยู่ นับหนึ่งทำเมิน ไม่มองหน้าพ่อและไม่เอ่ยอะไร
ทำให้ผู้เป็นพ่อแอบรู้สึกผิดเล็กน้อย เลยไม่ค่อยกล้าสู้หน้าลูกสาว
ทั้งสามคนนั่งทานข้าวกันอย่างเงียบๆ พอทานข้าวเสร็จนับหนึ่งก็เดินออกไปขึ้นรถ ที่หน้าบ้าน ไปเรียนตามปกติเช่นทุกวัน
จนมาถึงกลางเดือน เธอก็ถูกส่งตัวไปบำเรอผู้ชายแปลกหน้าในห้องนั้นดังเดิม
หลังจากเสร็จกิจการบนเตียง เธอจึงฝืนเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
" ฉันอยากได้เครื่องประดับ ใส่ไปงานมหาลัย คุณซื้อให้ฉันได้มั้ย "
ชายร่างสูงใหญ่นอนกอดเธอจากทางด้านหลังลูบไล้ผิวเนียนนุ่มของเธอเบาๆแล้วเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ
" ได้สิ คุณต้องใช้เมื่อไหร่ เดี๋ยวผมจะให้คนส่งไปให้ครบชุดเลย เอาแบบที่ใครเห็นคุณแล้วตะลึงเลย ดีมั้ย "
พูดจบก็จูบลงบนไหปลาร้าอันน่าหลงไหลของนับหนึ่งพร้อมกับเลื่อนมือมาสัมผัสทรวงอกนุ่มอย่างช้าๆ
นับหนึ่งยิ้มเย็นออกมาท่ามกลางความืด แววตาเธอดุร้ายยิ่งกว่าปีศาจ แล้วเอ่ยตอบออกไปว่า
" วันที่ 29 เดือนนี้ค่ะ "
" อือ วันที่ 29 คุณรอรับเครื่องประดับกับชุดสวยๆได้เลย แต่...ตอนนี้ เรามาทำกันอีกรอบนะ ตอนนี้มันผงาดขึ้นมาอีกแล้ว "
" มันเช้าแล้วค่ะ ฉันต้องไปเรียนอยู่ "
นับหนึ่งรีบเอ่ยปฏิเสธ แต่ชายร่างสูงใหญ่กลับเอ่ย
" นะ รอบสุดท้ายแล้วจริงๆ กว่าผมจะมีเวลามาหาคุณอีกที นานเลย "
" ไม่ได้ค่ะ ฉันไม่ไหวแล้ว "
" อดทนอีกแค่ชั่วโมงเดียวนะ รอบนี้ผมจะไม่ทำรุนแรงกับคุณแล้ว "
เอ่ยจบเขาก็จับนับหนึ่งทำกิจกรรมบนเตียงต่อโดยไม่สนใจว่าเธอจะยินยอมหรือไม่ แล้วบรรเลงเพลงสวาทในทุกท่วงท่าอย่างเร่าร้อนโดยไม่รักษาคำพูดที่ว่า จะไม่ทำรุนแรง