ตอนที่ 14 หลุดพ้นจากขุมนรกนั่นซะที
หลังจากเสร็จกิจกรรมบนเตียง นับหนึ่งก็ออกมาจากห้อง โดยมีคนขับรถรออยู่หน้าห้อง คอยรับส่งเธอ
หลังจากนั้นมาเธอก็ไปเรียนตามปกติทุกวัน พอถึงวันที่ 29 ชุดและเครื่องประดับก็ถูกส่งมาที่บ้าน
เธอรับของแล้วแกะออกมาดู จากนั้นก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ไว้อย่างดี
พรุ่งนี้เป็นวันปัจฉิมนิเทศแล้ว เธอเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว เหลือแต่รอหนีออกจากบ้านอย่างเดียว
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอขอให้แม่เลี้ยงไปเป็นผู้ปกครองให้ที่โรงเรียน รานีเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาถูกกำชับให้ดูแลนับหนึ่งดีๆ
ภายในงานปัจฉิมนิเทศ พิธีบายศรีสู่ขวัญ ดำเนินขึ้นแต่เช้า ต่อด้วยการแสดงของรุ่นน้อง
หลังจากเสร็จพิธีในช่วงเช้าแล้ว นับหนึ่งก็เดินมาหาแม่เลี้ยงแล้วแสร้งเอ่ยเสียงหวาน
" คุณแม่ขา เดี๋ยวคุณแม่รอหนูตรงนี้ได้มั้ยคะ รอจนกว่าหนูจะกลับมาโอเคมั้ย "
" แล้วลูกจะไปไหนล่ะ "
รานีเอ่ยถามด้วยความสงสัย นับหนึ่งจึงเอ่ยตอบเสียงใสว่า
" หนูต้องไปเข้าพบ ผอ. ค่ะ เหมือนว่าจะให้หนูไปรับทุน มีผู้ใจบุญมามอบให้ เดี๋ยวหนูจะเอาทุนที่ได้กลับมาให้คุณแม่นะคะ "
รานีระบายยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตอบเสียงหวาน
" ได้จ้ะ "
แล้วนับหนึ่งก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับแสยะยิ้มเยาะออกมาอย่างร้ายๆ
ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังถ่ายรูปมอบของขวัญและช่อดอกไม้ให้กันและกันก่อนจะจากกัน
นับหนึ่งกลับนั่งรถกลับมาที่บ้าน พอรถจอดลงตรงหน้าบ้าน เธอก็กำชับกับคนขับรถก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ
" ลุงรอหนูแป๊บนะคะ เดี๋ยวหนูมาค่ะ "
" ได้ครับ "
คนขับรถเอ่ยตอบรับคำ แล้วนับหนึ่งก็รีบลงจากรถ วิ่งเข้าบ้านไป
ไม่นานเธอก็ออกมาพร้อมกับกระเป๋าเป้เดินทาง สะพายอยู่ข้างหลัง วิ่งมาขึ้นรถอย่างไวแล้วเอ่ย
" ไป โรงรับจำนำค่ะ จากนั้นก็ไปมหาลัย MTC ต่อเลยค่ะลุง "
" ได้ครับ "
แล้วคนขับรถก็ขับไปส่งเธอตามที่เธอได้บอกไว้ พอไปถึงโรงรับจำนำเดินเข้าไปต่อคิว
แล้วเอาเครื่องเพชรกับชุดเดรสแบรนด์หรูและรองเท้าแบรนด์ดังออกมาจำนำในราคาที่ถูกกว่า
" ได้เท่าไหร่หนูเอาเท่านั้นค่ะ หนูรีบใช้เงินต้องไปจ่ายค่าเทอมในมหาลัย เมตตาหนูด้วยนะคะ "
เธอยกมือไหว้พนักงานเพราะเห็นพนักงงานมองหน้ากันแบบอึ้งๆ เลยนึกว่าจะจำนำไม่ได้ เลยไหว้ขอความเมตตาไว้ก่อน
โดยที่ไม่รู้ว่าชุดเครื่องประดับกับรองเท้านั้นราคาเท่าไหร่ เพราะเธอไม่รู้จักของแบรนด์เนมเลย
พนักงานคิดว่าเธอคงจะร้อนเงินจริงๆถึงเอาของมีค่ามาจำนำ จากนั้นพนักงานก็เอ่ยกับเธอว่า
" เราจะเก็บไว้ให้คุณ หากคุณมีเงินค่อยมาไถ่คืนนะคะ "
" ขายทอดตลาดไปเลยค่ะ หนูไม่เอาแล้ว "
ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เธอจะไม่มีวันขออะไรจากคนชั่วช้าคนนั้นหรอก
เพราะการที่เธอทำแบบนั้น เธอรู้ดีแก่ใจว่ามันเหมือนเธอยอมรับการขายตัว
เธอจะไม่มีวัน ที่จะมาไถ่คืนของสกปรกที่นำพาความอัปยศอดสูมาให้เธอหรอก เพราะเธอรู้สึกรังเกียจมันยิ่งกว่าอะไร
พนักงานเห็นสีหน้านับหนึ่งดูจริงจัง เลยเอ่ยว่า
" ทางเรามีให้คุณแค่ล้านเดียวนะคะ "
ได้ยินดังนั้นดวงตานับหนึ่งลุกวาวเลย
[ ตั้งล้านหนึ่งเลยเหรอ ]
แล้วนับหนึ่งก็กลับมาทำหน้านิ่งพร้อมกับเอ่ยตอบ
" ได้ค่ะ "
แล้วพนักงานก็ยื่นถุงเงินสดมาให้เธอ
พอได้เงินมาก้อนหนึ่งเธอก็กลับมาขึ้นรถแล้วเดินทางไปยังมหาลัยต่อ
แล้วเดินหาหอพักใกล้ๆมหาลัย พอเห็นป้ายที่เขียนว่ามีห้องว่างให้เช่า
เธอก็เดินเข้าไปทำเรื่องเช่า จากนั้นเจ้าของหอก็มาเปิดประตูให้เธอเข้าอยู่ หลังจากที่เจ้าของห้องออกไปแล้ว เธอก็หยิบถุงเงินสดขึ้นมาดู
" หวังว่าเงินนี่จะพอจ่ายค่าเทอมกับค่าหอและค่าเล่าเรียนต่างๆจนเรียนจบนะ "
เอ่ยจบเธอก็หงายหลังนอนลงไปบนเตียง
[ หลุดพ้นจากขุมนรกนั่นซะที ]
หลังจากพึมพำในใจเสร็จเธอก็หลับตาลงอย่างสบายใจ
ทางด้านรานี แกนั่งรอนับหนึ่งจนทุกคนในงานทยอยกันกลับไปจนหมด ก็ยังไม่เห็นนับหนึ่งกลับมา
" แกไปรับทุนอะไรของแก นานเป็นปีเป็นชาติ ไม่ใช่ว่าไปล่อ ผอ. อยู่หรอกนะ "
รานีบ่นออกมา ว่าให้นับหนึ่งอย่างหยาบคาย แล้วเดินกลับมาขึ้นรถอย่างหมดอารมณ์รอ จากนั้นก็ขับรถออกจากโรงเรียน
มุ่งหน้าไปยังร้านเสริมสวย ทำผม ทำเล็บอย่างมีความสุขโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ความสุขบนความทุกข์ของนับหนึ่งนั้นกำลังจะหมดไป
พอตกค่ำ แกก็ขับรถกลับเข้ามาจอดหน้าบ้าน แล้วเดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี
ธำรงที่กลับมาก่อนพอได้ยินเสียงรถของภรรยาเขาก็เดินออกมาหาอย่างตั้งตารอ
พอเห็นภรรยากลับเข้ามาในบ้านโดยไร้เงานับหนึ่ง แกจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
" คุณ แล้วนับหนึ่งล่ะ "
รานีมองหน้าสามีแบบงงๆแล้วเอ่ยถามกลับ
" คุณกลับมาถึงบ้านก่อนฉัน แล้วมาถามหานับหนึ่งกับฉัน คุณหมายความว่าไง "
ธำรงยืนนิ่งเงียบไปนึกถึงตอนกลับมาถึงบ้านตั้งใจจะเอาของขวัญให้ลูก เพื่อแสดงความยินดีที่เธอเรียนจบ
แต่พอขึ้นไปเคาะประตูห้องแล้วเอ่ยเรียก กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
เขาเลยเปิดประตูเข้าไปดูในห้องของลูกสาว ก็แอบตกใจ ที่ในห้องว่างเปล่า เสื้อผ้าบางส่วนหายไป
แต่เขาก็ยังพยายามคิดในแง่ดี ว่าลูกสาวอาจจะอยู่กับรานี เลยลงมานั่งรอในห้องรับแขก
พอได้ยินเสียงรถของภรรยา ก็รีบออกมาดูหวังจะให้ของขวัญแก่ลูกสาว แต่กลับเห็นเพียงภรรยาเดินกลับเข้ามาคนเดียว
รานีเห็นสามีนิ่งเงียบแกเลยเอ่ยขึ้น
" คุณนิ่งเงียบทำไม อย่าบอกนะว่านับหนึ่ง ยังไม่กลับมาน่ะ "
" อือ นับหนึ่งยังไม่กลับมา ตอนแรกผมก็นึกว่าเธออยู่กับคุณ "
แล้วอยู่ๆดวงตารานีก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจเหมือนว่าจะคิดอะไรได้
" อย่าบอกนะว่านับหนึ่งหนีออกจากบ้านไปแล้วน่ะ "
พอได้ยินภรรยาเอ่ยดังนั้น ธำรงก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อสามวันก่อน
นับหนึ่งได้เอาเอกสารสำเนาทะเบียนบ้านกับสำเราบัตรประชาชนของเขามาให้เขาเซ็นเป็นปึก
" คุณช่วยเซ็นให้ฉันหน่อย "
นับหนึ่งเอ่ยเสียงห้วน ไม่ยอมเอ่ยเรียกเขาว่าพ่อ เพราะเธอไม่ต้องการพ่ออย่างเขา
" ให้พ่อเซ็นหมดเลยเหรอลูก "
เขาพยายามแทนตัวเองว่าพ่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" อือ เซ็นเสร็จแล้วก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันจะมาเอาเอง "
นับหนึ่งเอ่ยเสียงห้วนๆด้วยสีหน้าบูดๆแล้วเดินออกไปอย่างเย็นชา
ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาเอกสารไปทำอะไร
เพราะกลัวว่ามันจะทำให้ลูกรำคาญ ด้วยความรู้สึกผิดต่อลูกเลยก้มหน้าก้มตาเซ็นให้อย่างเงียบๆ
ยิ่งมารู้ว่าลูกหนีออกจากบ้านไปแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อลูกมากขึ้นไปอีก
" นี่คุณจะยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบออกไปตามหานับหนึ่งสิ มันยังไม่เคยออกไปไหนเลย คงหนีไปไม่ไกลหรอก
ไปประกาศตามหาเร็ว จะให้เธอหนีไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเราซวยแน่ ต้องหาเธอให้เจอก่อนจะถึงวันอังคารหน้า "
รานีร้อนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะหากนับหนึ่งไม่อยู่แล้ว แกจะส่งใครไปให้เจ้านายของสามีล่ะ
" คุณ เรื่องนี้เราจะประกาศให้ใครรู้ไม่ได้ ไม่งั้นเรื่องถึงหูเจ้านายผมแน่ "
ธำรงเอ่ยเตือนภรรยา เขาเองก็กลัวจะตกงาน กลัวถูกเล่นงานเหมือนกัน รานียืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย
" งั้นเอางี้ คืนนี้เราแยกย้ายกันออกไปตามหา ฉันจะลองถามทางกลุ่มผู้ปกครอง ดูว่าเธอไปค้างคืนบ้านเพื่อนคนไหนอีกหรือเปล่า "
" ได้ "
แล้วสองสามีภรรยาก็วิ่งไปขึ้นรถของตัวเอง ขับออกไปตามหานับหนึ่งด้วยความร้อนใจ
รานีทักเข้าไปในกลุ่มผู้ปกครอง
( ขอสอบถามผู้ปกครองนักเรียนทุกคนหน่อยนะคะ ไม่ทราบว่า น้องนับหนึ่งได้ไปอยู่บ้านเพื่อนคนไหนหรือเปล่า
พอดีว่า ตอนนี้น้องยังไม่ถึงบ้านเลยค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วงมากตอนนี้นั่งไม่ติดกันแล้วค่ะ
หากน้องอยู่บ้านผู้ปกครองท่านไหน รบกวนทุกท่านช่วยบอกในกลุ่มหน่อยนะคะ )
พอผู้ปกครองนักเรียนเห็นข้อความต่างก็พิมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
( ไม่เห็นค่ะ ) ( ไม่เจอน้องเลยครับ )
รานีเห็นข้อความแล้วหงุดหงิดมาก
" นี่มันไปตายที่ไหนของมันนะ ถ้าไม่ติดว่ายังมีประโยชน์ล่ะก็ จะฟาดให้ตายเลย น่าโมโหชะมัด
เวลาพักผ่อน แทนที่จะได้นอนหลับสบายในห้องแต่กลับต้องออกมาตามหาลูกของนังรรินทร์ จะบ้าตาย "
ทางด้านธำรง เขาขับรถตามหานับหนึ่งตลอดทั้งคืน พอรู้สึกเหนื่อยล้าจนไม่ไหวแล้วจริงๆเลยโทรไปหาภรรยา รานีเห็นสามีโทรเข้ามาเลยเอ่ยถามขึ้นทันทีที่รับสาย
" เป็นไง เจอมั้ย "
" ไม่เจอเลย ผมว่าเรากลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปหาตามหอพัก ตามมหาลัย "
" ค่ะ ฉันก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน "
แล้วสองสามีภรรยาก็วางสายไป จากนั้นก็กลับมาที่บ้าน แล้วนอนหลับพักผ่อนเอาแรงในยามค่ำคืน