บทที่ 5 ข้าอัปลักษณ์? ทุกท่านตาบอดกันตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉีซินจื่อเบิกตาโตทันที โกรธโมโหจนกัดฟันแน่น หยุนหรั่นเฟิงตั้งใจทำ เมื่อกี้นางไม่ได้ออกแรงเลย
หยุนหรั่นเฟิงหัวเราะเย้ยในใจ เสแสร้งหรอ ใครทำไม่เป็นบ้าง?
ฉีซินจื่อส่ายหัวอย่างแรง พร้อมพูดอธิบายขึ้นว่า “ไม่ ไม่ใช่ข้า พี่พระชายาเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายพี่พระชายา.....”
ในขณะที่เคลื่อนไหว ผ้าคลุมหัวของนางหล่นตกลงมา ใบหน้างดงามละมุนละไม เวลานี้เพราะร้อนใจที่จะอธิบาย แฝงไปด้วยความเป็นกังวล เห็นแล้วก็น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอมอย่างมาก สายตาทุกคนฉายแววประหลาดใจ
ภายในห้องที่เงียบงัน ฉีซินจื่อเงยหน้าขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ใบหน้างดงามเหมือนดอกสาลี่ที่โปรยปรายด้วยหยาดฝน พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่พระชายา ข้าไม่ได้ผลักเจ้าจริงๆ.....”
ท่าทีอ่อนโยนนิ่มนวล งดงามอย่างไร้ที่ติ สร้างความสงสารแก่ทุกคนในทันที คนอ่อนโยนขนาดนี้ จะลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร พระชายารองงดงามใจดี หรือว่าพระชายาอัปลักษณ์นำมาซึ่งปัญหา?
หยุนหรั่นเฟิงสัมผัสได้ถึงสายตาผู้คนที่เปลี่ยนไป ในใจนางหนักอึ้ง ค่อยๆลุกขึ้นมา ยืดอกหลังตรงยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง รอยช้ำพร่างพราวบนหลังมือขาวเนียน เหมือนโดนอะไรสักอย่างหล่นทับ
ตามการเคลื่อนไหวของนาง สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่รอยช้ำบนหลังมือของนาง เมื่อมองดู แล้วก็เคลื่อนมองไปที่กระถางไฟขนาดใหญ่ที่กลิ้งลงมาบนพื้นโดยไม่รู้ตัว ต่างก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ จะเจ็บปวดขนาดไหน?
หยุนหรั่นเฟิงขมวดคิ้วอย่างอ่อนแรง เพราะมีผ้าคลุมหน้าไว้นางจึงไม่แสดงท่าทีอะไร น้ำเสียงปรับพูดขึ้นมาอย่างโศกเศร้าเสียใจว่า น้องพระชายารอง เจ้าคงไม่ได้หมายความว่า ข้าทำให้พังจนมือบาดเจ็บเอง แล้วใส่ร้ายป้ายสีเจ้า?
“พี่พระชายา ข้าไม่ได้พูดแบบนี้” ฉีซินจื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพูดอธิบายอย่างร้อนใจ จากนั้นก็เดินไปดึงมือหยุนหรั่นเฟิง พร้อมพูดขึ้นว่า “มือของพี่พระชายาบาดเจ็บ? ให้ข้าดูหน่อย”
ในขณะที่ฉีซินจื่อพูด มือกลับคว้าดึงผ้าคลุมหน้าหยุนหรั่นเฟิงทันที นางจะต้องเปิดเผยธาตุแท้ความอัปลักษณ์ของนังสารเลวคนนี้ นี่ทุกคนได้เห็น บนโลกนี้ คนที่คู่ควรกับศิษย์พี่ มีเพียงนางฉีซินจื่อคนเดียว
หยุนหรั่นเฟิงหัวเย้ยในใจ ยังจะมาอีก? ในเมื่อพระชายารองคนนี้อยากตบหน้าตนเอง งั้นก็ให้นางสมหวัง
ฉีซินจื่อไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะหลงกล แกล้งทำเป็นหกล้ม มือเอื้อมไปโดนผ้าคลุมหน้าของหยุนหรั่นเฟิง ออกแรงดึง ผ้าคลุมหน้าหล่นลง สายตาฉีซินจื่อฉายแววได้ใจ นางอยากที่จะเห็นหยุนหรั่นเฟิงยกมือมากุมหน้าอย่างอับอาย แล้วถูกผู้คนหัวเราะเย้ย
“ขอ ขอโทษ ข้าไม่.....” ฉีซินจื่อเสแสร้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าฉายแววรู้สึกผิด เงยหน้าขึ้นมากำลังจะพูดขอโทษ กลับเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมหน้าของหยุนหรั่นเฟิง รอยยิ้มทั้งหมดหยุดชะงักทันที
นี่....นี่เป็นไปไม่ได้
นางเบิกตาโตอย่างตกตะลึง แข็งทื่อดังหุ่นไก่ มือที่คว้าจับผ้าคลุมหน้ามาหล่นลงพื้นแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
เดิมภายในห้องโถงที่มีเสียงดัง ราวกับถูกสาปแช่ง เงียบสงัดขึ้นมาทันที
หยุนหรั่นเฟิงเผชิญสายตาฉีซินจื่อที่ตกตะลึงจนแทบบ้าคลั่ง ในขณะที่นางตกตะลึง ค่อยๆกระตุกมุมปาก ท่าทีอวดดีและยั่วยุ
ตอนที่อยู่ภายในห้องทดลอง หลังจากรักษาหน้าหายแล้ว ได้พบกระเป๋าเครื่องสำอางที่นางพกติดตัวในภพที่แล้วอย่างไม่ตั้งใจ จึงอดไม่ได้ ใช้เครื่องสำอางในกระเป๋าตกแต่งหน้าอย่างเนียนละเอียดบอบบาง
เครื่องสำอางจากยุคปัจจุบัน ใช่ว่าเครื่องสำอางกระจอกในยุคนี้จะสามารถเทียบได้? ต่อให้นางผ่านการแต่งหน้า ในสายตาคนอื่น ก็เห็นว่าเป็นหน้าเป็นธรรมชาติ
เมื่อเทียบกับฉีซินจื่อที่แต่งหน้าเข้ม ดูก็รู้ว่าทาแป้งไม่รู้ตั้งกี่ชั้น....
สายตาหยุนหรั่นเฟิงฉายแววได้ใจ ให้พวกเจ้าคนยุคโบราณพวกนี้ได้รู้จักกับการแต่งหน้าหลอก
ทุกคนมองดูอยู่อย่างตกตะลึง จากนั้นก็หันไปมองฉีซินจื่อ เดิมที่ตกตะลึงกับความงดงามของพระชายารอง ตอนนี้เมื่อเทียบกับพระชายา รู้สึกเหนือชั้นกว่าขึ้นมาทันที
บนใบหน้าพระชายาไร้การแต่งเติม กลับดูปากแดงระเรื่อ ผิวเนียนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก ตอนที่ยังไม่เปิดเผยใบหน้าท่าทีก็ดูดีเลิศ ตอนนี้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ทุกคนเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าอะไรคือดาวจรัสแสง งดงามล่มเมือง
สีหน้าฉีซินจื่อขาวซีด ความอิ่มเอมใจก่อนหน้านี้ ตอนนี้ล้วนกลายเป็นเรื่องตลก ใบหน้าของนางเหมือนทุกตบอย่างแรง เจ็บปวดอย่างเผ็ดร้อน
สายตาเซียวจิ่นหมิงเคร่งขรึม มองดูหยุนหรั่นเฟิงอย่างลึกซึ้ง เขาจำได้ดีว่า เมื่อคืนใบหน้าของหยุนหรั่นเฟิง ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างตอนนี้
หยุนหรั่นเฟิงเงียบไม่พูดอะไร มองดูปฏิกิริยาท่าทีของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ผงกหัวอย่างพอใจ จากนั้นก็พูดขึ้นภายใต้ความเงียบที่ประหลาดใจว่า “เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน”
นางยื่นมือไปหาสาวใช้ที่นิ่งตะลึงงันอยู่ด้านข้าง พร้อมพูดขึ้นอย่างใจกว้างว่า “เพื่อไม่ให้มือของข้าถูกคนอื่นทำร้าย น้ำชาของพระชายารองถ้วยนี้ ข้าดื่มเองละกัน”
หยุนหรั่นเฟิงพูดพร้อมกับรับถ้วยน้ำชามาจากสาวใช้ ทำเป็นดื่มหนึ่งคำ หลังจากวางลงก็หันไปมองเซียวจิ่นหมิง
เซียวจิ่นหมิงสบกับสายตาของนาง ดวงตาที่เย็นชาแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ที่ไหนได้ หยุนหรั่นเฟิงเพียงแค่มองดูเขา ยิ้มหัวเราะอย่างมีเลสนัย แล้วก็เดินจากไป เงาหลังนั้นมั่นใจเหมือนกับกำลังพูดว่า นางมาพังทำลายงานเลี้ยงแต่งงาน เพียงเพื่อต้องการดื่มน้ำชาหนึ่งแก้วเท่านั้นจริงๆ
สีหน้าเซียวจิ่นหมิงนิ่งงัน ไม่คิดอะไรมาก เพียงคุณสั่งให้ทำพิธีต่อ
หลังจากกราบไหว้แล้ว เซียวจิ่นหมิงต้อนรับแขกเสร็จ ก็มาที่เรือนฉีซินจื่อ เมื่อก้าวประตูเข้ามาก็เห็นศิษย์น้องเกาทั่วร่างกายอยู่อย่างบ้าคลั่ง ปากก็พูดอยู่อย่างไม่หยุดว่า “คัน....คันมาก....ข้าทรมานมาก...”
เซียวจิ่นหมิงรีบสั่งคนไปตามหมอประจำจวนมา หลังจากหมอประจำจวนมาตรวจดูชีพจรแล้ว กลับพูดว่า “พระชายารองร่างกายแข็งแรง ไม่มีความผิดปกติอะไร....”
เขาหัวเราะเย้ยขึ้นมา ถลึงตาจ้องมองหมอประจำจวนอย่างโกรธโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “เบิกตาโตของเจ้ามองดู นางเหมือนคนไม่เป็นอะไรไหม?”
หมอประจำจวนสีหน้าขาวซีด คุกเข่าลงกับพื้น พร้อมพูดขึ้นอย่างหวาดกลัวว่า “บ่าวโง่เขลา องค์ชายโปรดอภัย โปรดอภัย....”
ในเวลานี้ เสียงแหลมสูงดังมาจากตรงมุมทันทีว่า “คือ คือพระชายา บ่าวเห็นกับตา นางวางยาพระชายารอง นางจะต้องอิจฉาริษยาที่พระชายารองได้รักความรักจากท่าน”
สีหน้าเซียวจิ่นหมิงเคร่งขรึม ถึงแม้ในใจจะสงสัยหยุนหรั่นเฟิง กลับไม่เสียทีที่หลงผิด สายตาของเขาจ้องมองสาวใช้คนนั้นอย่างเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงน่ากลัวว่า “ทำไมเจ้าไม่พูดตั้งแต่แรก?”
บ่าวใช้ติงตังคุกเข่าลงพื้น รีบพูดอธิบายอย่างกระวนกระวายว่า “บ่าว บ่าวไม่กล้า ยังไงนางก็เป็นถึงพระชายา....”
ฉีซินจื่อสบสายตาติงตังอย่างไม่หวังดี จากนั้นก็กัดฟัน พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่ ถึงแม้ข้าก็ไม่อยากเข้าใจผิดพี่พระชายา แต่วันนี้คนที่เข้าใกล้ตัวข้า ก็มีเพียงศิษย์พี่ กับพี่พระชายา......”
เซียวจิ่นหมิงยังคงไม่พูดอะไร หยุนหรั่นเฟิงมาพังงานเลี้ยงกลับดื่มเพียงน้ำชาก็ไปแล้ว แต่ก่อนที่นางจะจากไป สายตาที่มองดูเขากลับรอยยิ้มนั่น....
เห็นได้ชัดว่ากำลังยั่วยุเขา
หลังจากเซียวจิ่นหมิงครุ่นคิดดูแล้ว สีหน้ามืดครึ้มราวกับฝนกำลังจะตก ทั่วทั้งร่างพ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไปเอายาถอนพิษมาจากนาง”
หมอประจำจวนเห็นแล้วก็รีบยกกล่องยาตนเองขึ้นมา เดินตามเซียวจิ่นหมิงไป ทั้งกลิ้งทั้งคลานวิ่งตามไป เหลือเพียงฉีซินจื่อกับติงตังมองสบตากัน จากนั้นก็ยิ้มหัวเราะ
ฉีซินจื่อพูดชมนางว่า “เจ้าทำได้ไม่เลว”
ติงตังค่อยโล่งอก อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างประจบสอพล พร้อมน้อมตัวพูดขึ้นว่า “ล้วนเป็นเพราะเหนียงเหนียงสอนได้ดี”