บทที่5 ความน่ากลัวที่แท้จริง
ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นเพียงภาพเงาต้นไม้ลางๆจากแสงจันที่สาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย
เสียงแมลงกินศพกับเสียงร้องของนกปิศาจทำให้บรรยากาศในพื้นที่นี้ดูวังเวงและหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
เหยี่ยนฮ่าวค่อยๆฟื้นคืนความเหนื่อยล้า เขาเอนหลังพิงกับลำต้นของต้นสักขนาดใหญ่ โดยที่ด้านข้างเขามีซากศพพังพอนสีขาวขนาดเท่าลูกกวางกองอยู่
หลังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับไป ป่าแห่งนี้ก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มีอันตรายพบได้อยู่ทุกแห่งหน
กลุ่มทหารที่เคยตามล่าเขายังกลายเป็นเพียงซากศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น กลายเป็นอาหารให้พวกหนอนแมลงได้กัดกิน
ส่วนเจ้าพังพอนขาวที่กองอยู่ห่างจากตำแหน่งเขาไปไม่ไกลนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูง ซึ่งเทียบเท่ายอดฝีมือเขตรวมปราณ การโจมตีของมันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่นภาพลวงตาหลอนจิตใจให้ตกในภวังค์ มนต์ที่ตรึงร่างกายให้ขยับไม่ได้ เขี้ยวเล็บของมันทั้งว่องไวและโหดเหี้ยม
ในตอนนั้นเขาโดนภาพลวงตาของมันเล่นงานตอนกำลังหลบหนี หากมิใช่เพราะมันเลือกกำจัดเหยื่อที่เข้มแข็งก่อนอย่างฝ่ายทหารที่ไล่ตามมา ทำให้เขามีโอกาสตอบโต้ได้ บวกกับการโจมตีครั้งสุดท้ายจากหัวหน้าหน่วยทหาร ทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส
จนกระทั่งเขาหลุดออกจากภาพลวงตา และอาศัยจังหวะที่มันกำลังดูดโลหิตจากศพทหารเพื่อฟื้นคืนอาการบาดเจ็บ ซัดหอกเข้าใส่จนเป็นฝ่ายสังหารมันลงได้
“ ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่ กลิ่นเลือดจะดึงดูดปัญหาเข้ามา” เขาเก็บถุงเสบียงจากศพหัวหน้าทหารแล้วหลบหนีไปทันที
ตอนนี้ถือได้ว่าเหยี่ยนฮ่าวสลัดหลุดจากการตามล่าของพวกทหารแคว้นจ้าวได้แล้ว เขาจึงเน้นเคลื่อนไหวอย่างรัดกุมเพื่ออำพรางร่องรอยตนเอง โดยหลบหนีไปตามความมืดของเงาต้นไม้ ทั้งยังอาศัยเคล็ดวิชาเก็บซ่อนกลิ่นอายตัวเองจากพวกสัตว์อสูร
โชคดีที่ตั้งแต่หลบหนีเข้ามายังไม่เจอพวกวิญญาณร้ายจำนวนมากที่เขาเห็นตรงชายป่า มิเช่นนั้นโอกาสเอาตัวรอดคงแทบไม่เหลือ
“ ต้องหาสถานที่ซ่อนตัวจนถึงเช้า แล้วค่อยหาทางหนีออกไปจากป่านี่”
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
เหยี่ยนฮ่าวเจอต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่หักโค่นลงมา ลำต้นมันหนาขนาดสามคนโอบ แต่ด้วยความแห้งของเปลือกไม้หลังจากลองเคาะดูเบาๆทำให้รู้ว่าด้านในเป็นโพรงกลวง เขาจึงใช้ปลายหอกขุดเป็นช่องเล็กๆเพื่อเข้าไปหลบซ่อน แล้วจึงย้ายเอากิ่งไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นมาอำพรางทางเข้าไว้
เมื่อนำเสบียงออกมากินจนอยู่ท้อง เขาก็หลับตาลงนั่งพิงกับผนังไม้ด้านในเพื่อพักผ่อน ทั้งที่ในมือยังคงกุมหอกเอาไว้หลวมๆ เพราะต้องรักษาสภาพตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลาไว้เพื่อรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ก็มีเสียงเหยียบใบไม้ของคนกลุ่มหนึ่งดังเขามาในบริเวณนี้ ปลุกให้เหยี่ยนฮ่าวลืมตาขึ้นทันที เขาอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์มองออกไปจากช่องเล็กๆเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก
กลุ่มทหารบาดเจ็บจำนวนห้าคนเดินประคองกันมาด้วยความเหนื่อยล้า หนึ่งในนั้นจัดเป็นคนคุ้นเคยสำหรับเหยี่ยนฮ่าว ซึ่งก็คือหัวหน้าหน่วยแซ่จ้าวที่ไล่ตามเขามาตั้งแต่แรกนั่นเอง
เพียงแต่ตอนนี้หัวหน้าจ้าวนั้นเหมือนสิ้นสติอยู่และมีแผลขนาดใหญ่เป็นรอยกัดตรงขาขวา เนื้อส่วนนั้นเหมือนถูกคว้านหายไปพร้อมเกราะทหารจนมองเห็นกระดูกสีขาวชัดเจน เขาถูกทหารคนหนึ่งแบกขึ้นหลังมา
“ หยุดพักตรงนี้ก่อน ” ทหารที่เหมือนเป็นผู้นำพูดขึ้น เขาหยุดลงตรงโขดหินไม่ไกลจากจุดที่เหยี่ยนฮ่าว ซ่อนตัวอยู่
“ พวกเจ้าสามคนยืนคุ้มกันไว้ ข้าจะทำแผลให้หัวหน้าจ้าว”
“ หลังจากนั้น เราจะพักกันตรงนี้ถึงเช้า”
ผ่านไป ครึ่งชั่วโมง
หัวหน้าจ้าวค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมา เท่าที่เขาจำได้ก่อนหมดสติพวกพ้องเขาเหลือเพียงสี่คนเท่านั้นตายไปถึงครึ่งหนึ่ง ป่านี้มันน่ากลัวจริงๆ จนเขานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่สหายของเขาเล่าให้ฟังก่อนสิ้นลม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงทุกอย่าง
เมื่อสิบสองปีก่อน ทหารหนึ่งพันคนรับคำสั่งเข้าไปปฏิบัติภารกิจลับในป่าต้องห้าม ผ่านไปเพียงคืนเดียว มีทหารรอดออกมาเพียงสามคนถูกพบหมดสติอยู่ตรงเขตหมอกนอกชายป่า สองคนในนั้นหลังฟื้นตัวก็พุ่งเข้าสังหารกันเองจนตายไปทั้งคู่
คนเดียวที่เหลือรอดก็คือสหายของเขาที่เหมือนจะกลายเป็นคนบ้า ในยามกลางวันจะนั่งเหม่อลอย แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะกลายเป็นบ้าคลั่งทันที พุ่งเข้าโจมตีทุกคนที่อยู่ในสายตาจนต้องมัดติดไว้กับเตียง
อาการสหายเขาเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคืนที่เจ็ด ในคืนนั้นไม่มีอาการบ้าคลั่งเกิดขึ้น มีเพียงความสงบและดูสับสนเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พูดคุยกันหลังจากที่สหายเขาถูกช่วยออกมา เพียงแต่เมื่อยามที่เขาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าต้องห้าม สีหน้าของสหายเขากลับเปลี่ยนไปเป็นซีดขาวไร้สีเลือดเหมือนนึกถึงบางอย่างที่น่ากลัว
จากที่สหายเขาเล่าออกมา แม้คำพูดจะดูสับสนไปบ้างแต่ก็พอจับใจความได้ ว่าหลังเข้าไปในป่าได้หกชั่วโมงผ่านการต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมาย กองทหารทั้งพันคนมีคนตายไปเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น
ในเวลานั้นทหารทุกคนต่างก็เริ่มชะล่าใจ ว่าความน่ากลัวของป่าต้องห้ามเป็นเพียงสัตว์ร้ายกับแมลงพิษเท่านั้น ภารกิจครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป หลังเวลาประมาณยามสาม(เที่ยงคืนถึงตีสาม)ป่าทั้งป่าเหมือนเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นน่าสะพรึงกลัว เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้อาการของสหายเขาเหมือนจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว เสียงเล่านั้นเบาลงมากจนพอที่จะฟังออกเพียง “ เงา ” และ “ชุดสีแดง ” เท่านั้น
หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ร่างกายของสหายเขาก็สั่นสะท้านอย่างแรง นัยน์ตาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นขาวขุ่นเหมือนคนตาย เลือดสีแดงไหลออกมาเป็นสายจากทางหูและจมูก
ใบหน้าค่อยเปลี่ยนไปจนคล้ายกับใบหน้าของซากศพ แต่มุมปากกลับฉีกยิ้มออกไปจนถึงใบหูคล้ายกับสุนัข
ในเวลานั้นบรรยากาศในค่ายคนป่วยเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ความหวาดกลัวแทรกซึมไปถึงกระดูกสันหลัง ยิ่งเมื่อเขาได้สบตากับใบหน้าเหมือนคนตายนั้น เขารู้สึกเหมือนวิญญาณจะถูกดูดไปจนควบคุมร่างกายไม่ได้
ตัวเขาค่อยๆถูกดึงดูดให้เอียงเข้าไปหาใบหน้านั้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับการป้อนอาหารให้ปิศาจร้าย ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพยายามที่จะต้องการครอบครองร่างกายเขา
ในตอนที่จิตใจเขาแทบจะพังทลาย หอกอันหนึ่งพุ่งเสียบทะลุหัวของสหายเขากระเด็นออกไป หลังจากนั้นบรรยากาศน่ากลัวก็จางหายไป เรี่ยวแรงของเขาทยอยกลับคืนมาจนเริ่มขยับตัวได้
ในตอนนั้นหากมิใช่สหายที่ผ่านมาเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน บางทีเขาคงตายไปแล้ว
“ เวลานี้เป็นยามใดแล้ว น้องสาม ” หัวหน้าจ้าวที่นอนพักอยู่บนแท่นหินพยายามยกตัวขึ้นหัน ไปถามทหารที่นั่งอยู่ใกล้เคียงด้วยเสียงแหบพร่า เพราะเสียลมปราณไปกับการต่อสู้กับเสือปีศาจอย่างดุเดือด ทั้งยังเสียเลือดมากเกินไปจึงทำให้หมดสติไปนาน
“ พี่ใหญ่ท่านดีขึ้นแล้วรึ ท่านพักผ่อนซักครู่เถิดเดี๋ยวพวกข้าเฝ้ายามให้เอง”
“ ตอนนี้ข้าคิดว่าน่าจะเข้ายามสามนะ”
“ ยาม..สามงั้นรึ ” หัวหน้าจ้าวหน้าซืดลงทันทีแล้วรีบถามต่อ
“ แล้วมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้นรึป่าว”
“ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ใหญ่ ข้าให้ทหารคนอื่นออกไปเฝ้าระวังดูรอบๆแล้ว หากมีสัตว์อสูรหลงเข้ามาเราจะได้รับแจ้งก่อนทันที ”
“ ส่วนเรื่องเหตุการณ์แปลกๆ ก็มีแค่ไม่กี่ลมหายใจที่ผ่านมาป่ามันดูเงียบลงเท่านั้น”
“ ป่าเงียบลงงั้นรึ ” จริงสินะตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาไม่มีเสียงใดๆเลย ทั้งเสียงแมลงทั้งเสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์อสูร มันหายไปทั้งหมด แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้ยังไม่มี
“ น้องสาม รีบเรียกคนของเรากลับมาเดี๋ยวนี้ ” หัวหน้าจ้าวออกคำสั่งขึ้นอย่างรีบร้อน
“ พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าพวกเราไม่ต้องมีเวรยามรึ ข้าว่าท่านอย่าพึ่งตื่นตระหนกไปเลยพักผ่อนก่อนดีกว่า ”
น้องสามตอบด้วยความสงสัยว่าเหตุใดวันนี้พี่ใหญ่ขวัญอ่อนนัก หรือเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ
“ น้องสามเจ้าไม่รู้สึกว่ามันเงียบจนเกินไปรึ ไม่มีแม้แต่เลียงลม”
“ เมื่อกี้ข้าลองใช้พลังปราณตรวจสอบบริเวณรอบๆดู ไม่พบสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว แม้หนอนแมลงซักตัวก็ยังไม่มี เหมือนพวกมันหนีหายไปหมด ”
“ เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว ”
แกรก แกรก !
ทั้งสองหันไปมองที่มาของเสียงทันที มีเงาร่างคนค่อยๆเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
แม้แต่เหยี่ยนฮ่าวที่แอบมองอยู่ ก็ยังถูกดึงดูดความสนใจไปทางนั้นด้วย เพียงแต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งเคล็ดจิตอาชูร่าถูกกระตุ้นขึ้นมาเองแบบไม่รู้ตัว หรือจะมีพวกวิญญาณร้ายเข้ามาใกล้
ด้วยแสงจากกองไฟเล็กๆที่ถูกจุดไว้ ทำให้เห็นร่างของนายทหารคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางแปลกๆ โดยที่แขนทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว ลำตัวโน้มมาข้างหน้า ศีรษะก้มมองพื้น ร่างนั้นเดินโอนเอนเข้ามาช้าๆ
“ เป็นคนที่ข้าส่งไปเฝ้ายามเองพี่ใหญ่ ”
“ งั้นรึแล้วพวกที่เหลือล่ะ เจ้าไปบอกให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันเถอะข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ” หลังพูดจบหัวหน้าจ้าวก็ลุกขึ้นมานั่งเดินลมปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
“ ตามท่านสั่งเลยพี่ใหญ่ ตอนนี้ข้าเองก็คิดว่าเราอยู่รวมกันคงดีกว่าไอป่าบ้านี่มันน่าขนลุกเกินไปแล้ว ”
“ แล้วนี่ทำไมอยู่ดีๆ อากาศมันก็เย็นขึ้นขนาดนี้วะ ” น้องสามบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ขณะเดินเข้าไปหาทหารที่กลับมา
“ อาติงพื้นที่ตรงบริเวณนี้ปลอดภัยดีไหม แล้วคนอื่นไปไหนหมดทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว ”
พึมพำๆๆ
“ เจ้าพูดอะไรของเจ้า รีบตอบคำถามข้ามา ”
ในเวลานั้นเมฆสีเทาบนท้องฟ้าได้ขยับเคลื่อนตัวไป เปิดโอกาสให้แสงสว่างจากดวงจันทร์ได้สาดส่องลงมาเพียงไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็ถูกเมฆก้อนอื่นบดบังจนมืดเหมือนเดิม
!!
แต่เวลาเพียงชั่วพริบตาที่แสงจันทร์สาดส่องลงมานั้น สำหรับหัวหน้าจ้าวที่นั่งมองอยู่บนแท่นหิน หรือเหยี่ยนฮ่าวที่แอบดูอยู่ในโพรงต้นไม้
ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวอย่างมาก แผ่นหลังทั้งสองหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เส้นขนทุกเส้นบนร่างลุกซู่ หัวใจเต้นรัวดั่งกลอง ภาพที่เห็นเมื่อกี้เหมือนฝังติดตาทั้งคู่ แม้จะหลับตาก็เหมือนจะปรากฏขึ้นมาเองในความคิด
เส้นผมแห้งกรังราวขนนกกาปล่อยทิ้งลงมา ใบหน้าของนางช้ำบวม ดวงตาถลนออกจากเบ้า ปลายหางตาฉีกขาดออกจากกัน ด้วยบาดแผลที่เปิดอ้าหลายแผลบนใบหน้าและตามลำคอ ดูเหมือนนางจะประสบความทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนตาย ชุดขาวที่นางสวมใส่มันชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉานไปกว่าครึ่ง
มีผีผู้หญิงตนหนึ่งยืนอยู่บนไหล่ของทหารที่ชื่ออาติง…
เวลานี้หัวหน้าจ้าวหวาดกลัวจนแทบจะบ้า ยิ่งเขาเห็นน้องสามของเขาเดินเข้าไปใกล้จนอยู่ตรงหน้าทหารนายนั้น โดยไม่สนใจอะไรเลย เหมือนกับมีเพียงเขาที่เห็นคนเดียว
“ อาติงเจ้าบาดเจ็บรึถึงเดินแปลกๆ แล้วเหตใดถึงไม่ตอบคำถามข้า”
“ หน…..”
“ ห่ะ…เจ้าพูดว่าอะไรเงยหน้าขึ้นมาคุยกับข้านี่ ” น้องสามพยายามจับไหล่อาติงดึงขึ้น เพื่อให้เงยหน้าขึ้นตอบ
“ หนักเหลือเกิน…..”
“ หนัก ….. หัวข้าหนักเหลือเกิน… ” เสียงอันสั่นเทาดังออกมาเบาๆจากปากของอาติง โดยที่ไม่สนใจคำถามจากเจ้าสองแม้แต่น้อย
“ นี่…เจ้านี่มันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ” น้องสามหันไปหาหัวหน้าจ้าว “ พี่ใหญ่เอาไงดีสงสัยอาติงมันจะกลัวจนเสียสติไปแล้ว”
โดยที่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้รู้เลยแม้แต่น้อย ว่าคนที่กำลังจะเสียสตินั้นคือตัวหัวหน้าจ้าวนั่นเอง เพราะตอนที่น้องสามเข้าไปจับไหล่อาติงนั้น แสงจันทร์ก็ส่องลงมาอีก
ชั่วพริบตานั้นภาพผีสาวตนเดิมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่ครั้งนี้หัวเธอก้มต่ำมองลงมาที่น้องสาม เท้าข้างที่เหยียบอยู่บนไหล่อาติงค่อยๆยกขึ้นเหมือนจะก้าวออกไป เส้นใยสีขาวคล้ายพลังวิญญาณถูกดูดออกจากตัวของอาติง เข้าไปยังชุดที่เธอสวมอยู่ จนเหมือนกับว่าลอยเปื้อนเลือดสีแดงมันจะแพร่กระจายมากขึ้น
เวลานั้นในตอนที่เขาตั้งใจจะส่งเสียงเตือนให้น้องสามหนีไป ผีสาวตนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา หัวของเธอบิดหมุนขึ้นไปด้านบน ดวงตาที่มีแต่ความอาฆาตแค้นเหลือบมองมาทางเขา เลือดมากมายทะลักออกจากบาดแผลทั่วใบหน้า
ตอนนั้นเสียงเขาจุกอยู่ในคอทันที ในตอนที่แววตานั้นมองมาตัวเขาก็สั่นสะท้านจนหายใจแทบไม่ออก ภายหลังจากที่ผีตนนั้นมันเห็นเขาไม่ได้คิดจะร้องเตือนน้องสาม มันจึงละสายตากลับไปทันที
ร่างกายเขาถึงค่อยๆฟื้นกลับมาขยับได้อีกครั้ง พลังของผีตนนี้น่าจะสะกดคนได้เพียงทีละคน มิเช่นนั้นมันคงไม่ต้องล่อให้น้องสามเข้าไปใกล้ มันคงจัดการพวกเราทุกคนพร้อมกันแล้ว
แสดงว่าพวกทหารคนอื่นที่ออกไป น่าจะโดนมันฆ่าไปจนหมดแล้ว มันเลยเข้าสิงอาติงให้กลับมาจัดการพวกเขาที่เหลือ หากตัวเขาไม่ได้บาดเจ็บหนักอาจจะพอต่อสู้ได้บ้าง
ผู้ฝึกยุทธหลังจากมาถึงขั้นรวมลมปราณจะฝึกฝนจิตต่อสู้ได้ มันสามารถใช้ทำร้ายพวกวิญญาณปิศาจร้ายได้ ถึงแม้ไม่อาจจะกำจัดมัน แต่คงพอจะโจมตีให้มันล่าถอยแล้วค่อยหลบหนีไปกับน้องสามได้
แต่ตอนนี้ด้วยอาการบาดเจ็บตอนนี้คงยากมาจะต่อกรกับมันเพียงลำพัง เพราะน้องสามเป็นแบบนั้นคงทำอะไรไม่ได้แล้ว หากเขาใช้ประโยชน์จากช่วงที่มันกำลังจะเข้าสิงน้องสามแล้วหลบหนีออกไปคงจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่า
เพราะน้องสามใกล้จะสำเร็จขั้นรวมปราณแล้วน่าจะพอต่อต้านมันได้ซักพัก นี่มันเหมือนเขาต้องตัดสินใจเลือกระหว่างชีวิตตัวเองกับน้องร่วมสาบานที่ร่วมทุกข์สุขกันมาสิบปี
ในเวลาที่หัวหน้าจ้าวยังต่อสู้กับความคิดตัวเองในจิตใจนั้น
เหยี่ยนฮ่าวก็กำลังตกตะลึงอยู่เช่นกัน เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่ หัวหน้าจ้าวเหมือนจะส่งเสียงเตือนทหารที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อ แต่โดนผีสาวตนนั้นแสดงท่าทีคุกคามจนเงียบไป
แต่ในชั่วพริบตาที่ผีสาวตนนั้นกำลังหันกลับไปสนใจทหารที่อยู่ตรงหน้านั้นเอง
เขาสัมผัสได้ถึงดวงตาอาฆาตของผีสาวตนนั้น มันเหลือบมองมาทางเขานิดหนึ่งเหมือนไม่ได้เจตนา
ร่างกายเขาสั่นสะท้านขึ้นทันที เรี่ยวแรงเหมือนโดนสูบออกไปจนขยับตัวไม่ได้ จนต้องรีบกระตุ้นเคล็ดจิตอาชูร่าขึ้นมาทันที อาการผิดปกติถึงค่อยๆหายไป
มันรู้ว่าเขาแอบดูอยู่ !
“ ดูเหมือนข้าก็ต้องคิดแผนเอาตัวรอดเช่นกัน ” เหยี่ยนฮ่าวบ่นออกมาเบาๆ