บท
ตั้งค่า

บทที่5 ความน่ากลัวที่แท้จริง

ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นเพียงภาพเงาต้นไม้ลางๆจากแสงจันที่สาดส่องเข้ามาเพียงเล็กน้อย 

เสียงแมลงกินศพกับเสียงร้องของนกปิศาจทำให้บรรยากาศในพื้นที่นี้ดูวังเวงและหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก  

เหยี่ยนฮ่าวค่อยๆฟื้นคืนความเหนื่อยล้า เขาเอนหลังพิงกับลำต้นของต้นสักขนาดใหญ่ โดยที่ด้านข้างเขามีซากศพพังพอนสีขาวขนาดเท่าลูกกวางกองอยู่   

หลังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลาลับไป  ป่าแห่งนี้ก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มีอันตรายพบได้อยู่ทุกแห่งหน 

กลุ่มทหารที่เคยตามล่าเขายังกลายเป็นเพียงซากศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น  กลายเป็นอาหารให้พวกหนอนแมลงได้กัดกิน  

ส่วนเจ้าพังพอนขาวที่กองอยู่ห่างจากตำแหน่งเขาไปไม่ไกลนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสองขั้นสูง ซึ่งเทียบเท่ายอดฝีมือเขตรวมปราณ  การโจมตีของมันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ  เช่นภาพลวงตาหลอนจิตใจให้ตกในภวังค์  มนต์ที่ตรึงร่างกายให้ขยับไม่ได้  เขี้ยวเล็บของมันทั้งว่องไวและโหดเหี้ยม 

ในตอนนั้นเขาโดนภาพลวงตาของมันเล่นงานตอนกำลังหลบหนี  หากมิใช่เพราะมันเลือกกำจัดเหยื่อที่เข้มแข็งก่อนอย่างฝ่ายทหารที่ไล่ตามมา  ทำให้เขามีโอกาสตอบโต้ได้ บวกกับการโจมตีครั้งสุดท้ายจากหัวหน้าหน่วยทหาร ทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัส 

จนกระทั่งเขาหลุดออกจากภาพลวงตา และอาศัยจังหวะที่มันกำลังดูดโลหิตจากศพทหารเพื่อฟื้นคืนอาการบาดเจ็บ  ซัดหอกเข้าใส่จนเป็นฝ่ายสังหารมันลงได้ 

“ ข้าต้องรีบออกไปจากที่นี่  กลิ่นเลือดจะดึงดูดปัญหาเข้ามา”  เขาเก็บถุงเสบียงจากศพหัวหน้าทหารแล้วหลบหนีไปทันที

 

            ตอนนี้ถือได้ว่าเหยี่ยนฮ่าวสลัดหลุดจากการตามล่าของพวกทหารแคว้นจ้าวได้แล้ว  เขาจึงเน้นเคลื่อนไหวอย่างรัดกุมเพื่ออำพรางร่องรอยตนเอง  โดยหลบหนีไปตามความมืดของเงาต้นไม้ ทั้งยังอาศัยเคล็ดวิชาเก็บซ่อนกลิ่นอายตัวเองจากพวกสัตว์อสูร  

โชคดีที่ตั้งแต่หลบหนีเข้ามายังไม่เจอพวกวิญญาณร้ายจำนวนมากที่เขาเห็นตรงชายป่า  มิเช่นนั้นโอกาสเอาตัวรอดคงแทบไม่เหลือ 

“ ต้องหาสถานที่ซ่อนตัวจนถึงเช้า แล้วค่อยหาทางหนีออกไปจากป่านี่”

 

 หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง  

เหยี่ยนฮ่าวเจอต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่หักโค่นลงมา ลำต้นมันหนาขนาดสามคนโอบ  แต่ด้วยความแห้งของเปลือกไม้หลังจากลองเคาะดูเบาๆทำให้รู้ว่าด้านในเป็นโพรงกลวง เขาจึงใช้ปลายหอกขุดเป็นช่องเล็กๆเพื่อเข้าไปหลบซ่อน  แล้วจึงย้ายเอากิ่งไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นมาอำพรางทางเข้าไว้   

         เมื่อนำเสบียงออกมากินจนอยู่ท้อง เขาก็หลับตาลงนั่งพิงกับผนังไม้ด้านในเพื่อพักผ่อน  ทั้งที่ในมือยังคงกุมหอกเอาไว้หลวมๆ  เพราะต้องรักษาสภาพตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลาไว้เพื่อรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร  ก็มีเสียงเหยียบใบไม้ของคนกลุ่มหนึ่งดังเขามาในบริเวณนี้ ปลุกให้เหยี่ยนฮ่าวลืมตาขึ้นทันที  เขาอาศัยแสงสว่างจากดวงจันทร์มองออกไปจากช่องเล็กๆเพื่อดูสถานการณ์ด้านนอก

 

กลุ่มทหารบาดเจ็บจำนวนห้าคนเดินประคองกันมาด้วยความเหนื่อยล้า  หนึ่งในนั้นจัดเป็นคนคุ้นเคยสำหรับเหยี่ยนฮ่าว  ซึ่งก็คือหัวหน้าหน่วยแซ่จ้าวที่ไล่ตามเขามาตั้งแต่แรกนั่นเอง  

เพียงแต่ตอนนี้หัวหน้าจ้าวนั้นเหมือนสิ้นสติอยู่และมีแผลขนาดใหญ่เป็นรอยกัดตรงขาขวา เนื้อส่วนนั้นเหมือนถูกคว้านหายไปพร้อมเกราะทหารจนมองเห็นกระดูกสีขาวชัดเจน เขาถูกทหารคนหนึ่งแบกขึ้นหลังมา

 

“ หยุดพักตรงนี้ก่อน  ” ทหารที่เหมือนเป็นผู้นำพูดขึ้น เขาหยุดลงตรงโขดหินไม่ไกลจากจุดที่เหยี่ยนฮ่าว ซ่อนตัวอยู่

         “ พวกเจ้าสามคนยืนคุ้มกันไว้ ข้าจะทำแผลให้หัวหน้าจ้าว”

         “ หลังจากนั้น เราจะพักกันตรงนี้ถึงเช้า”

 

ผ่านไป ครึ่งชั่วโมง 

            หัวหน้าจ้าวค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมา เท่าที่เขาจำได้ก่อนหมดสติพวกพ้องเขาเหลือเพียงสี่คนเท่านั้นตายไปถึงครึ่งหนึ่ง  ป่านี้มันน่ากลัวจริงๆ  จนเขานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่สหายของเขาเล่าให้ฟังก่อนสิ้นลม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความจริงทุกอย่าง 

 

          เมื่อสิบสองปีก่อน  ทหารหนึ่งพันคนรับคำสั่งเข้าไปปฏิบัติภารกิจลับในป่าต้องห้าม  ผ่านไปเพียงคืนเดียว มีทหารรอดออกมาเพียงสามคนถูกพบหมดสติอยู่ตรงเขตหมอกนอกชายป่า  สองคนในนั้นหลังฟื้นตัวก็พุ่งเข้าสังหารกันเองจนตายไปทั้งคู่  

คนเดียวที่เหลือรอดก็คือสหายของเขาที่เหมือนจะกลายเป็นคนบ้า  ในยามกลางวันจะนั่งเหม่อลอย แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะกลายเป็นบ้าคลั่งทันที พุ่งเข้าโจมตีทุกคนที่อยู่ในสายตาจนต้องมัดติดไว้กับเตียง 

อาการสหายเขาเป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงคืนที่เจ็ด  ในคืนนั้นไม่มีอาการบ้าคลั่งเกิดขึ้น มีเพียงความสงบและดูสับสนเล็กน้อย 

เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พูดคุยกันหลังจากที่สหายเขาถูกช่วยออกมา เพียงแต่เมื่อยามที่เขาถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าต้องห้าม สีหน้าของสหายเขากลับเปลี่ยนไปเป็นซีดขาวไร้สีเลือดเหมือนนึกถึงบางอย่างที่น่ากลัว  

จากที่สหายเขาเล่าออกมา  แม้คำพูดจะดูสับสนไปบ้างแต่ก็พอจับใจความได้  ว่าหลังเข้าไปในป่าได้หกชั่วโมงผ่านการต่อสู้กับสัตว์อสูรมากมาย กองทหารทั้งพันคนมีคนตายไปเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น 

ในเวลานั้นทหารทุกคนต่างก็เริ่มชะล่าใจ ว่าความน่ากลัวของป่าต้องห้ามเป็นเพียงสัตว์ร้ายกับแมลงพิษเท่านั้น ภารกิจครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป หลังเวลาประมาณยามสาม(เที่ยงคืนถึงตีสาม)ป่าทั้งป่าเหมือนเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นน่าสะพรึงกลัว   เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้อาการของสหายเขาเหมือนจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว เสียงเล่านั้นเบาลงมากจนพอที่จะฟังออกเพียง  “ เงา ”  และ  “ชุดสีแดง ” เท่านั้น

หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ  ร่างกายของสหายเขาก็สั่นสะท้านอย่างแรง นัยน์ตาค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นขาวขุ่นเหมือนคนตาย เลือดสีแดงไหลออกมาเป็นสายจากทางหูและจมูก  

ใบหน้าค่อยเปลี่ยนไปจนคล้ายกับใบหน้าของซากศพ  แต่มุมปากกลับฉีกยิ้มออกไปจนถึงใบหูคล้ายกับสุนัข 

 

ในเวลานั้นบรรยากาศในค่ายคนป่วยเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก  ความหวาดกลัวแทรกซึมไปถึงกระดูกสันหลัง  ยิ่งเมื่อเขาได้สบตากับใบหน้าเหมือนคนตายนั้น เขารู้สึกเหมือนวิญญาณจะถูกดูดไปจนควบคุมร่างกายไม่ได้ 

ตัวเขาค่อยๆถูกดึงดูดให้เอียงเข้าไปหาใบหน้านั้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับการป้อนอาหารให้ปิศาจร้าย  ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพยายามที่จะต้องการครอบครองร่างกายเขา

 

ในตอนที่จิตใจเขาแทบจะพังทลาย  หอกอันหนึ่งพุ่งเสียบทะลุหัวของสหายเขากระเด็นออกไป  หลังจากนั้นบรรยากาศน่ากลัวก็จางหายไป  เรี่ยวแรงของเขาทยอยกลับคืนมาจนเริ่มขยับตัวได้  

ในตอนนั้นหากมิใช่สหายที่ผ่านมาเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน  บางทีเขาคงตายไปแล้ว

 

“ เวลานี้เป็นยามใดแล้ว น้องสาม ” หัวหน้าจ้าวที่นอนพักอยู่บนแท่นหินพยายามยกตัวขึ้นหัน ไปถามทหารที่นั่งอยู่ใกล้เคียงด้วยเสียงแหบพร่า  เพราะเสียลมปราณไปกับการต่อสู้กับเสือปีศาจอย่างดุเดือด ทั้งยังเสียเลือดมากเกินไปจึงทำให้หมดสติไปนาน

“ พี่ใหญ่ท่านดีขึ้นแล้วรึ  ท่านพักผ่อนซักครู่เถิดเดี๋ยวพวกข้าเฝ้ายามให้เอง”

“ ตอนนี้ข้าคิดว่าน่าจะเข้ายามสามนะ”

“ ยาม..สามงั้นรึ ” หัวหน้าจ้าวหน้าซืดลงทันทีแล้วรีบถามต่อ 

“ แล้วมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้นรึป่าว”

“ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ใหญ่  ข้าให้ทหารคนอื่นออกไปเฝ้าระวังดูรอบๆแล้ว  หากมีสัตว์อสูรหลงเข้ามาเราจะได้รับแจ้งก่อนทันที ”

“ ส่วนเรื่องเหตุการณ์แปลกๆ ก็มีแค่ไม่กี่ลมหายใจที่ผ่านมาป่ามันดูเงียบลงเท่านั้น”

“ ป่าเงียบลงงั้นรึ ” จริงสินะตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาไม่มีเสียงใดๆเลย ทั้งเสียงแมลงทั้งเสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์อสูร มันหายไปทั้งหมด  แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้ยังไม่มี

“ น้องสาม  รีบเรียกคนของเรากลับมาเดี๋ยวนี้ ” หัวหน้าจ้าวออกคำสั่งขึ้นอย่างรีบร้อน

“ พี่ใหญ่ท่านหมายความว่าพวกเราไม่ต้องมีเวรยามรึ ข้าว่าท่านอย่าพึ่งตื่นตระหนกไปเลยพักผ่อนก่อนดีกว่า ” 

น้องสามตอบด้วยความสงสัยว่าเหตุใดวันนี้พี่ใหญ่ขวัญอ่อนนัก หรือเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ

“ น้องสามเจ้าไม่รู้สึกว่ามันเงียบจนเกินไปรึ  ไม่มีแม้แต่เลียงลม” 

“ เมื่อกี้ข้าลองใช้พลังปราณตรวจสอบบริเวณรอบๆดู ไม่พบสิ่งมีชีวิตแม้แต่ตัวเดียว แม้หนอนแมลงซักตัวก็ยังไม่มี เหมือนพวกมันหนีหายไปหมด ” 

“ เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว ”

 

แกรก แกรก !

ทั้งสองหันไปมองที่มาของเสียงทันที  มีเงาร่างคนค่อยๆเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ 

แม้แต่เหยี่ยนฮ่าวที่แอบมองอยู่ ก็ยังถูกดึงดูดความสนใจไปทางนั้นด้วย เพียงแต่ตัวเขาเองกลับรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งเคล็ดจิตอาชูร่าถูกกระตุ้นขึ้นมาเองแบบไม่รู้ตัว  หรือจะมีพวกวิญญาณร้ายเข้ามาใกล้

 

ด้วยแสงจากกองไฟเล็กๆที่ถูกจุดไว้ ทำให้เห็นร่างของนายทหารคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางแปลกๆ โดยที่แขนทั้งสองข้างทิ้งลงข้างตัว ลำตัวโน้มมาข้างหน้า ศีรษะก้มมองพื้น  ร่างนั้นเดินโอนเอนเข้ามาช้าๆ

“ เป็นคนที่ข้าส่งไปเฝ้ายามเองพี่ใหญ่ ” 

“ งั้นรึแล้วพวกที่เหลือล่ะ  เจ้าไปบอกให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันเถอะข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ” หลังพูดจบหัวหน้าจ้าวก็ลุกขึ้นมานั่งเดินลมปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ   

“ ตามท่านสั่งเลยพี่ใหญ่  ตอนนี้ข้าเองก็คิดว่าเราอยู่รวมกันคงดีกว่าไอป่าบ้านี่มันน่าขนลุกเกินไปแล้ว ”

“ แล้วนี่ทำไมอยู่ดีๆ อากาศมันก็เย็นขึ้นขนาดนี้วะ ” น้องสามบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ขณะเดินเข้าไปหาทหารที่กลับมา

“ อาติงพื้นที่ตรงบริเวณนี้ปลอดภัยดีไหม แล้วคนอื่นไปไหนหมดทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว ”

พึมพำๆๆ

“ เจ้าพูดอะไรของเจ้า  รีบตอบคำถามข้ามา ”

ในเวลานั้นเมฆสีเทาบนท้องฟ้าได้ขยับเคลื่อนตัวไป เปิดโอกาสให้แสงสว่างจากดวงจันทร์ได้สาดส่องลงมาเพียงไม่กี่อึดใจ  จากนั้นก็ถูกเมฆก้อนอื่นบดบังจนมืดเหมือนเดิม 

!!  

แต่เวลาเพียงชั่วพริบตาที่แสงจันทร์สาดส่องลงมานั้น  สำหรับหัวหน้าจ้าวที่นั่งมองอยู่บนแท่นหิน  หรือเหยี่ยนฮ่าวที่แอบดูอยู่ในโพรงต้นไม้  

ทั้งคู่ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวอย่างมาก แผ่นหลังทั้งสองหลั่งเหงื่อเยียบเย็น เส้นขนทุกเส้นบนร่างลุกซู่ หัวใจเต้นรัวดั่งกลอง  ภาพที่เห็นเมื่อกี้เหมือนฝังติดตาทั้งคู่  แม้จะหลับตาก็เหมือนจะปรากฏขึ้นมาเองในความคิด

เส้นผมแห้งกรังราวขนนกกาปล่อยทิ้งลงมา  ใบหน้าของนางช้ำบวม ดวงตาถลนออกจากเบ้า ปลายหางตาฉีกขาดออกจากกัน ด้วยบาดแผลที่เปิดอ้าหลายแผลบนใบหน้าและตามลำคอ ดูเหมือนนางจะประสบความทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนตาย ชุดขาวที่นางสวมใส่มันชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉานไปกว่าครึ่ง 

มีผีผู้หญิงตนหนึ่งยืนอยู่บนไหล่ของทหารที่ชื่ออาติง… 

เวลานี้หัวหน้าจ้าวหวาดกลัวจนแทบจะบ้า ยิ่งเขาเห็นน้องสามของเขาเดินเข้าไปใกล้จนอยู่ตรงหน้าทหารนายนั้น โดยไม่สนใจอะไรเลย เหมือนกับมีเพียงเขาที่เห็นคนเดียว

“ อาติงเจ้าบาดเจ็บรึถึงเดินแปลกๆ  แล้วเหตใดถึงไม่ตอบคำถามข้า” 

“ หน…..”

“ ห่ะ…เจ้าพูดว่าอะไรเงยหน้าขึ้นมาคุยกับข้านี่ ” น้องสามพยายามจับไหล่อาติงดึงขึ้น เพื่อให้เงยหน้าขึ้นตอบ

“ หนักเหลือเกิน…..”

“ หนัก ….. หัวข้าหนักเหลือเกิน… ” เสียงอันสั่นเทาดังออกมาเบาๆจากปากของอาติง โดยที่ไม่สนใจคำถามจากเจ้าสองแม้แต่น้อย

“ นี่…เจ้านี่มันเป็นบ้าอะไรเนี่ย ” น้องสามหันไปหาหัวหน้าจ้าว “ พี่ใหญ่เอาไงดีสงสัยอาติงมันจะกลัวจนเสียสติไปแล้ว”

 

โดยที่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้รู้เลยแม้แต่น้อย ว่าคนที่กำลังจะเสียสตินั้นคือตัวหัวหน้าจ้าวนั่นเอง เพราะตอนที่น้องสามเข้าไปจับไหล่อาติงนั้น แสงจันทร์ก็ส่องลงมาอีก

ชั่วพริบตานั้นภาพผีสาวตนเดิมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง  เพียงแค่ครั้งนี้หัวเธอก้มต่ำมองลงมาที่น้องสาม  เท้าข้างที่เหยียบอยู่บนไหล่อาติงค่อยๆยกขึ้นเหมือนจะก้าวออกไป   เส้นใยสีขาวคล้ายพลังวิญญาณถูกดูดออกจากตัวของอาติง  เข้าไปยังชุดที่เธอสวมอยู่ จนเหมือนกับว่าลอยเปื้อนเลือดสีแดงมันจะแพร่กระจายมากขึ้น

เวลานั้นในตอนที่เขาตั้งใจจะส่งเสียงเตือนให้น้องสามหนีไป   ผีสาวตนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา หัวของเธอบิดหมุนขึ้นไปด้านบน ดวงตาที่มีแต่ความอาฆาตแค้นเหลือบมองมาทางเขา  เลือดมากมายทะลักออกจากบาดแผลทั่วใบหน้า  

ตอนนั้นเสียงเขาจุกอยู่ในคอทันที ในตอนที่แววตานั้นมองมาตัวเขาก็สั่นสะท้านจนหายใจแทบไม่ออก ภายหลังจากที่ผีตนนั้นมันเห็นเขาไม่ได้คิดจะร้องเตือนน้องสาม  มันจึงละสายตากลับไปทันที

ร่างกายเขาถึงค่อยๆฟื้นกลับมาขยับได้อีกครั้ง  พลังของผีตนนี้น่าจะสะกดคนได้เพียงทีละคน มิเช่นนั้นมันคงไม่ต้องล่อให้น้องสามเข้าไปใกล้  มันคงจัดการพวกเราทุกคนพร้อมกันแล้ว

แสดงว่าพวกทหารคนอื่นที่ออกไป น่าจะโดนมันฆ่าไปจนหมดแล้ว  มันเลยเข้าสิงอาติงให้กลับมาจัดการพวกเขาที่เหลือ  หากตัวเขาไม่ได้บาดเจ็บหนักอาจจะพอต่อสู้ได้บ้าง  

ผู้ฝึกยุทธหลังจากมาถึงขั้นรวมลมปราณจะฝึกฝนจิตต่อสู้ได้ มันสามารถใช้ทำร้ายพวกวิญญาณปิศาจร้ายได้ ถึงแม้ไม่อาจจะกำจัดมัน แต่คงพอจะโจมตีให้มันล่าถอยแล้วค่อยหลบหนีไปกับน้องสามได้

แต่ตอนนี้ด้วยอาการบาดเจ็บตอนนี้คงยากมาจะต่อกรกับมันเพียงลำพัง  เพราะน้องสามเป็นแบบนั้นคงทำอะไรไม่ได้แล้ว  หากเขาใช้ประโยชน์จากช่วงที่มันกำลังจะเข้าสิงน้องสามแล้วหลบหนีออกไปคงจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่า 

เพราะน้องสามใกล้จะสำเร็จขั้นรวมปราณแล้วน่าจะพอต่อต้านมันได้ซักพัก  นี่มันเหมือนเขาต้องตัดสินใจเลือกระหว่างชีวิตตัวเองกับน้องร่วมสาบานที่ร่วมทุกข์สุขกันมาสิบปี

 

ในเวลาที่หัวหน้าจ้าวยังต่อสู้กับความคิดตัวเองในจิตใจนั้น  

เหยี่ยนฮ่าวก็กำลังตกตะลึงอยู่เช่นกัน  เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่ หัวหน้าจ้าวเหมือนจะส่งเสียงเตือนทหารที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อ  แต่โดนผีสาวตนนั้นแสดงท่าทีคุกคามจนเงียบไป 

แต่ในชั่วพริบตาที่ผีสาวตนนั้นกำลังหันกลับไปสนใจทหารที่อยู่ตรงหน้านั้นเอง

เขาสัมผัสได้ถึงดวงตาอาฆาตของผีสาวตนนั้น  มันเหลือบมองมาทางเขานิดหนึ่งเหมือนไม่ได้เจตนา  

ร่างกายเขาสั่นสะท้านขึ้นทันที เรี่ยวแรงเหมือนโดนสูบออกไปจนขยับตัวไม่ได้  จนต้องรีบกระตุ้นเคล็ดจิตอาชูร่าขึ้นมาทันที อาการผิดปกติถึงค่อยๆหายไป

มันรู้ว่าเขาแอบดูอยู่ !

“ ดูเหมือนข้าก็ต้องคิดแผนเอาตัวรอดเช่นกัน ” เหยี่ยนฮ่าวบ่นออกมาเบาๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel