บทที่4 ยื่นมือเข้าช่วย
ณ หุบเขาแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากป่าต้องห้ามนัก ที่แห่งนี้มีหมู่ตึกขนาดขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่จากโลกภายนอก ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามมีทางเดินหินอ่อนทอดยาวไปถึงตรงลานกว้าง
ที่แห่งนั้นมีรูปปั้นชายวัยกลางคนในชุดนักพรตดูสูงส่งสง่างามราวเทพเซียนยืนตระหง่านอยู่ โดยที่ส่วนของใบหน้านั้นเงยขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน มือขวาของรูปปั้นถือกระบี่พาดเฉียงลงที่พื้น ส่วนมือซ้ายพาดไว้ด้านหลัง ความพิเศษของรูปปั้นนี้คือยามราตรีเมื่อดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าจะทอประกายสีขาวนวลออกมาจางๆ
บริเวณรอบรูปปั้นมีเด็กหนุ่มสาวอยู่หลายคนที่กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนด้วยความสงบ ผู้อยู่อาศัยรวมทั้งคนรับใช้ในหมู่ตึกนี้มีราวๆพันกว่าคน ด้วยเขตอาคมที่ใช้ในการรวบรวมปราณวิญญาณระดับสูง ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาขอแค่เพียงได้อาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องฝึกตนก็สามารถมีอายุยืนยาวเกินร้อยปีได้อย่างง่ายดาย
ภายในตัวตึกหลังที่ใหญ่ที่สุด มีรูปปั้นหินกิเลนขนาดใหญ่อยู่สองตัวทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้เฝ้าประตูทางเข้า ลักษณะรูปปั้นกิเลนดูสมจริงเป็นอย่างมาก ตรงนัยน์ตาถูกฝังด้วยมุกราตรีเม็ดใหญ่ทอประกายแวววาว
เหนือประตูทางเข้ามีป้ายไม้พะยูงอย่างดีเขียนด้วยตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ “ ตระกูลไป่ ”
ด้านในห้องประชุมของตระกูลไป่ตอนนี้มีเด็กอยู่สองคน ประกอบไปด้วยเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าปีหน้าตาหล่อเหลารูปร่างผอมบาง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อยเหมือนมีอาการเจ็บป่วย ด้านข้างมีเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารัก ดูเฉลียวฉลาด อายุประมาณแปดขวบ
ทั้งสองคนกำลังยืนมองไปที่กระจกบานใหญ่ตรงใจกลางห้องประชุมอย่างสนใจ ซึ่งภาพเหตุการณ์ในกระจกก็คือภาพการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวกับอาเว่ยนั่นเอง
“ ท่านพี่ไป่ฟงพี่ชายคนนั้นจะชนะมั้ย ” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปทางเหยี่ยนฮ่าวที่ถูกอาเว่ยโหมโจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง
“ ไม่ต้องห่วงหรอกลั่วเออร์แม้เขาจะมีพลังด้อยกว่า แต่ประสบการณ์ต่อสู้เหนือกว่ามากนัก เขาเหมือนกำลังถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูเรี่ยวแรงอยู่ ” ไป่ฟงตอบคำถามน้องสาวเขาอย่างสบายๆ ทั่งคู่เฝ้าดูการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวมาตั้งแต่ตอนถูกมือเกาทัณฑ์รุมยิงแล้ว
วันนี้ผู้อาวุโสเกือบทั้งหมดในตระกูลออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ แม้แต่ศิษย์พี่หญิงก็ยังแอบลอบตามไป เหลือเพียงเขากับน้องสาวถูกทิ้งไว้ โดยที่ตัวเขาเองก็โดนน้องสาวออดอ้อนให้มาเปิดใช้งานคันฉ่องส่องหล้าให้นางชมดู
ภายใต้กฎของตระกูลนั้นหากไม่สำเร็จถึงขั้นปราณนภาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปโลกภายนอก แต่ตัวน้องสาวของเขาไป่ลั่วเออร์นั้นมีความสนใจในโลกภายนอกมาก นางมักจะรบเร้าให้ศิษย์พี่หญิงเปิดใช้งานคันฉ่องเพื่อชมดูการใช้ชีวิตของชาวเมืองรอบๆป่าต้องห้ามเสมอ
“ ท่านพี่ไป่ฟง พี่ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บแล้ว ” ไป่ลั่วเออร์ร้องออกมาด้วยความกังวล
“ อืม….เป็นถึงปราณปฐพีขั้นปลายกับลอบทำร้ายนักสู้ระดับเจ็ด ไร้เหตุผลสิ้นดี ” ไป่ฟงบ่นออกมาเบาๆ ตามภาพที่เห็นในคันฉ่องคือ เหยี่ยนฮ่าวถูกรังสีกระบี่หยางเจี้ยนฟันใส่จนกระเด็นและได้รับบาดเจ็บ
“ ทำยังไงดี ? ท่านพี่ไป่ฟง….พี่ชายคนนั้นจะโดนฆ่าแล้ว ” ไปลั่วเออร์ดึงแขนเสื้อไป่ฟงเอาไว้ ใบหน้าเล็กๆน่ารักนั้นจ้องมองไปที่พี่ชาย นางแบะปากมีน้ำตาเม็ดเล็กไหลซึมอยู่ตรงหางตาดูน่าเวทนายิ่ง
“ เอ่อ…คือ ” ไป่ฟงมีสีหน้าลำบากใจ แต่เขาก็พอเข้าใจความคิดของน้องสาว พวกเขาได้เฝ้าดูการต่อสู้ของเหยี่ยนฮ่าวผ่านทางคันฉ่องมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มันก็เหมือนท่านดูละครเรื่องหนึ่งแล้วพอถึงฉากที่ตัวเอกกำลังจะโดนผู้ร้ายฆ่าตาย นางย่อมทนไม่ได้เป็นธรรมดา
“ แต่กฎในตระกูลเราห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นของโลกภายนอกนะ ” ไป่ฟงพูดออกมาเบาๆ เขาสบตากับน้องสาวที่น้ำตาปริ่มๆจะไหลเต็มทีแล้ว
“ ท่านพี่….ข้าไม่อยากให้พี่ชายคนนั้นตาย ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ นางยังคงจับแขนเสื้อของไป่ฟงไว้แน่น เหมือนแสดงท่าทีไม่ยินยอม
“ เฮ้ออ…..เอาเถอะข้าช่วยก็ได้ ” เขาถอนหายใจออกมายาวๆแล้วตัดสินใจทำตามคำขอของน้องสาว “ แต่ลั่วเออร์ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะ ”
เมื่อมองน้องสาวที่ยิ้มหวานพยักหน้าตอบรับ ตัวเขาก็โบกมือเบาๆแผ่นหยกที่ใช้ควบคุมคันฉ่องก็ลอยเข้ามาหาทันที
“ ข้าทำได้เพียงดึงพลังจากค่ายกลสะกดมารเล็กน้อยตรงชายป่า มาใช้สร้างเป็นอาณาเขตป้องกันรอบตัวเขาเท่านั้นนะ ”
“ ส่วนที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เขาหาทางรอดเอาเอง ” ไป่ฟงพูดอธิบายให้น้องสาวฟังแล้วใช้มือซ้ายกำแผ่นหยกไว้ จากนั้นใช้นิ้วชี้ขวาวาดอักขระเวทรอบตัวเหยียนฮ่าวผ่านภาพที่ปรากฎในคันฉ่อง
ณ บริเวณชายป่าต้องห้าม
ทางฝั่งของเหยี่ยนฮ่าวแม้จะถูกกดดันจากจิตต่อสู้ของหยางเจี้ยน แต่เขาก็ยังคงพยามรักษาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เอาไว้ แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บจนยืนแทบไม่ไหว แต่จิตใจก็ไม่ได้โดนกดดันจนพังทลาย สมองของเขากำลังพยามคิดหาหนทางเพื่อที่จะหนีรอดออกไปให้ได้
“ ข้าชื่อ…เหยี่ยนฮ่าว ” เหยี่ยนฮ่าวตอบออกมาด้วยเสียงดังชัดเจน ไม่มีความหวาดกลัวในน้ำเสียง
แววตาชื่นชมปรากฏออกมาวูบหนึ่งในดวงตาหยางเจี้ยน เขาเริ่มรู้สึกถูกใจเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเล็กน้อย มีน้อยคนนักที่ยังรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้ยามเมื่อเผชิญกับความตายตรงหน้า แต่ดูจากระดับฝึกฝนที่ยังอ่อนด้อยคงจะมีพรวรรค์ไม่ดีนักจึงไม่ได้เข้าร่วมนิกาย
จากการสังเกตเด็กหนุ่มคนนี้ มีทักษะในการต่อสู้โดดเด่นมากโดยเฉพาะการตัดสินต่างๆ เหมือนผ่านการคำนวนมาล่วงหน้าจนควบคุมการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ ทั้งยังรู้จักใช้ความคิดทั้งที่สามารถทำร้ายอาเว่ยได้ตั้งแต่สามกระบวนท่าแรก แต่กลับเลือกที่จะถ่วงเวลาเพื่อหาทางหนีแทน แต่เพราะสถานที่นี้ใกล้กับป่าต้องห้ามมากเกินไป ทั้งยังเหลือเวลาอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตก เขาจึงต้องรีบจบการต่อสู้นี้เสีย
“ เหยี่ยนฮ่าว!..จงมาติดตามข้า เจ้าจะได้เข้าร่วมนิกายเก้ามังกรและได้รับทรัพยากรเท่ากับสาวกภายใน ” หยางเจี้ยนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง น้อยครั้งนักที่เขาจะเสนอโอกาสดีแบบนี้ให้
“ ข้า…แต่ข้าเป็นคนแคว้นฉู่ ” เหยี่ยนฮ่าวตอบออกมาด้วยความลังเล
“ ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นคนของแคว้นไหน ข้าสนใจเพียงความสามารถเท่านั้น เงื่อนไขเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะเสนอให้ใครง่ายๆ อีกเพียงสามปีกองกำลังของข้าจะประกาศศักดาทั่วทั้งเจ็ดแคว้น เจ้าติดตามข้าตั้งแต่ตอนนี้รับรองไม่ผิดหวัง ” หยางเจี้ยงพูดออกมาเสียงดังด้วยแววตาเจิดจ้า
สีหน้าของเหยี่ยนฮ่าวเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ความคิดของเขาต่อสู้กันเองในสมอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับโอกาสเข้าร่วมนิกาย ทั้งยังมาจากความสามารถของตัวเขาเอง ตั้งแต่เด็กเขาได้รับแต่เสียงดูถูกจากคนในตระกูล แม้แต่สหายก็ยังแทบไม่มี นอกจากครอบครัวของเขาเองก็ไม่มีผู้ใดเลยที่ให้การยอมรับตัวเขา
เรื่องอีกสามปีข้างหน้าที่หยางเจี้ยงบอกก็มีโอกาสเป็นได้ได้สูง เพราะตอนนี้นิกายเก้ามังกรได้ควบคุมแคว้นจ้าวไว้ได้หมดแล้ว หยางเจี้ยนก็เปรียบเสมือนผู้สืบทอดของจ้าวนิกายในอนาคต กองกำลังของหยางเจี้ยนแทบไม่ต้องคำนึงถึงปัญหาเรื่องทรัพยากร
แต่หากเขาเลือกเป็นผู้ติดตามของหยางเจี้ยน ก็หมายถึงเขาทรยศต่อแคว้นฉู่หักหลังต่อตระกูลและบิดามารดาของตน ท่านพ่อเขานั้นสั่งสอนเสมอถึงความซื่อสัตย์ ในตระกูลเหยี่ยนสิบแปดรุ่นไม่เคยมีผู้ใดเป็นคนทรยศขายชาติ
หรือเขาควรตอบรับไปก่อนแล้วค่อยหาทางหนี
“ ถ้าหากเจ้ายอมรับ ก็ต้องทำพันธสัญญานายบ่าวกับข้า รอจนกว่าเจ้าจะผ่านการทดสอบของข้า ข้าจึงจะยกเลิกพันธสัญญาให้ ” หยางเจี้ยนพูดออกมาเหมือนรู้ทันความคิดเหยี่ยนฮ่าว ถ้าหากทำสัญญานายบ่าวแล้วเพียงแค่หนึ่งความคิดของหยางเจี้ยนก็สามารถปลิดชีพเหยี่ยนฮ่าวได้ทันที
หลังจากได้ยินเงื่อนไขเหยี่ยนฮ่าวก็ชะงักทันที เพราะหากตอบรับก็เหมือนชีวิตตนอยู่ในกำมืออีกฝ่าย แถมการทดสอบที่ว่าก็ไม่รู้จะใช้เวลานานแค่ไหน
มือที่ถือหอกอยู่เริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด เขาเหลือเวลาอีกเพียงสิบสามปีเท่านั้น
ครืนนน
ความกดดันจากจิตต่อสู้ของหยางเจี้ยนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ บอกต่อเจ้า สำหรับข้าแผ่นดินนี้มีคนอยู่เพียงสองจำพวก หนึ่งคือคนที่คล้อยตามข้า สองคือคนตาย ” แววตาหยางเจี้ยนเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา หลังจากที่ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการจากเหยี่ยนฮ่าว
ในขณะที่เหยี่ยนฮ่าวกำลังจะตัดสินใจพุ่งหอกโจมตีออกไป แล้วค่อยหาทางหนีเข้าไปในป่าด้านหลังนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังเข้ามาในความคิดเขา
“ สหาย! ถอยไปด้านหลังสองก้าว ข้าจะช่วยเจ้าเอง ” เสียงบุคคลปริศนาดังขึ้นในความคิดเหยี่ยนฮ่าว
!!
ตุบ ตุบ
เขาตัดสินใจเชื่อเสียงที่ดังขึ้นในความคิดทันที เพราะสถานที่แห่งนี้มีแต่คนของหยางเจี้ยนทั้งสิ้น แต่เจ้าของเสียงสามารถส่งเสียงติดต่อกับเขาได้ ย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินยอมตายดีกว่าเป็นคนทรยศอยู่แล้ว
“ งั้นรึ…งั้นเจ้าก็เป็นคนจำพวกที่สอง ” หยางเจี้ยนส่ายหน้าเบาๆ มือที่ถือกระบี่ยกสูงขึ้นเหนือหัว “ ตายซะ!! ” กระบี่ในมือฟันลงมาทันที แสงสีเงินรูปทรงเสี้ยวพระจันทร์พุ่งเข้าโจมตีเหยี่ยนฮ่าวอย่างรุนแรง
วูปป
เหยี่ยนฮ่าวกัดฟันยกหอกมากันไว้เบื้องหน้า
แต่ในจังหวะเองนั้นเสียงของบุคคลปริศนาก็ดังขึ้น
“ อาคมผนึกจตุทิศ ”
เปรี้ยง!
หมอกสีขาวตรงชายป่าต้องห้ามถูกดึงมาสร้างเป็นเขตอาคมสี่เหลี่ยมขนาดเล็กรอบตัวเหยี่ยนฮ่าว มันป้องกันปราณกระบี่ของหยางเจี้ยนได้อย่างพอดี เขตอาคมเพียงสั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่ปราณกระบี่จะสลายไป
“ ผู้ใด !! ” หยางเจี้ยนตระโกนถามออกมาเสียงดัง ผู้คุ้มกันลับสองคนที่แฝงตัวปะปนอยู่กับทหารธรรมดาปรากฏขึ้นข้างกายหยางเจี้ยน ด้วยท่าทีเฝ้าระวังทันที
เงียบบ
ไม่มีเสียงตอบใดๆทั้งสิ้น ความกดดันเริ่มกระจายไปทั่วบริเวณรอบๆ หยางเจี้ยนรีบบังคับม้าถอยกลับมาอยู่ในกลุ่มองครักษ์พลางคิดขึ้นในใจ มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่แถวนี้โดยที่ผู้คุ้มกันขอบเขตปราณนภาของนิกายเขาไม่รู้ตัวเลยได้อย่างไร
“ ผู้อาวุโส ผู้เยาว์หยางเจี้ยนแห่งนิกายเก้ามังกร ไม่ทราบว่าท่านช่วยปรากฏกายให้ผู้เยาว์ได้คารวะได้หรือไม่ ”
ผู้คุ้มกันขอบเขตปราณนภาทั้งสองคนพยักหน้าให้กัน แล้วกระจายสัมผัสวิญญาณไปโดยรอบรัศมีร้อยลี้ แต่กลับไม่พบตัวผู้ลงมือเลยสร้างความกดดันให้ทั้งสองเป็นอันมาก เวลาผ่านไปอีกชั่วน้ำเดือดก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนไม่มีผู้ใดซ่อนตัวอยู่
“ ผู้อาวุโสจาง ” หยางเจี้ยนหันไปสงสัญญาณให้หนึ่งในผู้คุ้มกันข้างตัว
วูป!
ผู้คุ้มกันคนนั้นก้าวพริบตาไปปรากฏตัวตรงหน้าเหยี่ยนฮ่าว แล้วชกหมัดออกไปทันที
“ หมัดมังกรอัคคี ”
ปราณหมัดระเบิดเป็นมังกรไฟเข้ากลืนกินจุดที่เหยี่ยนฮ่าวยืนอยู่ แต่ก็ถูกเขตอาคมรอบตัวเหยี่ยนฮ่าวป้องกันเอาไว้ได้ แม้มันจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่มันก็สามารถดึงดูดเอาหมอกสีขาวตรงชายป่ามาซ่อมแซมตัวเองได้เรื่อยๆ
ภายหลังการออกหมัดผู้คุ้มกันคนนั้นก็อยู่ในสภาวะเตรียมรับการตอบโต้ทันที แต่มันกลับไม่มีการโจมตีตอบโต้เข้ามาตามที่คาดคิดไว้ เหมือนอีกฝ่ายเพียงสร้างเขตอาคมแล้วก็หายตัวไปเฉยๆ
ส่วนฝ่ายเหยี่ยนฮ่าวก็กำลังยืนสงบนิ่งอยู่ในเขตอาคม ปากของเขาเหมือนกำลังพูดพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว
“ สหาย…ข้าคงช่วยเจ้าได้แค่นี้ เขตอาคมนี้จะสลายตัวไปอีกหนึ่งชั่วโมง ” เสียงลึกลับดังขึ้นในความคิดเหยี่ยนฮ่าว
“ ท่านเป็นใครกัน แล้วช่วยข้าเพราะเหตุใด ” เหยี่ยนฮ่าวถามออกมาเบาๆ
“ ตัวตนของข้าไม่สามารถเปิดเผยได้ คิดซะว่าที่ช่วยเจ้าเป็นเพราะโชคชะตาแล้วกัน เพียงแต่ด้วยข้อห้ามบางอย่าง ข้าจึงช่วยเจ้าได้เท่านี้ หลังจากนี้เจ้าต้องหาหนทางเอาเอง ” เสียงนั้นกล่าวตอบเหยี่ยนฮ่าว
“ เท่านี้ก็พอแล้ว…ขอบคุณท่านมากหากมีโอกาสซักวันข้าจะตอบแทน ” เหยี่ยนฮ่าวตอบออกมาด้วยความสำนึกบุญคุณ
ทันใดนั้นเอง..
“ แย่แล้ว!! หนีไป…” เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นในความคิดเหยี่ยนฮ่าว ก่อนจะเงียบไปกลางคัน
ชั่วพริบตาเดียวหมอกรอบๆชายป่าก็สั่นเทือนอย่างน่ากลัว เงาวิญญาณร้ายที่เหยี่ยนฮ่าวเห็นต่างหนีหายไปจนหมด บรรยากาศหนักอึ้งกระจายไปทั่วจบแทบหายใจไม่ออก หากไม่มีหอกในมือที่ค้ำยันพื้นเอาไว้เหยี่ยนฮ่าวคงทรุดลงไปแล้ว
เคี้ยกก เคี้ยก!!
เสียงหัวเราะอันโหดร้ายดังขึ้น
“ หืมม…ไม่ใช่คนพวกนั้นนี่ แต่ทำไมข้าสัมผัสได้ถึงการใช้ค่ายสะกดมาร ” ชายหนุ่มชุดดำหน้าตาชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเหยี่ยนฮ่าวแบบไม่ทันรู้ตัว นัยน์ตาสีแดงฉานมองดูเหยี่ยนฮ่าวอย่างแปลกใจ
“ เจ้า…เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจมาก ” ชายหนุ่มชุดดำจ้องมองเหยี่ยนฮ่าวอยู่นาน แววตาของเขาค่อยๆเปร่งแสงสีแดงขึ้น
หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองดูกองทหารของหยางเจี้ยนด้านหลัง เขามองผ่านผู้คุ้มกันปราณนภาทั้งสองคนไปแบบไม่ใส่ใจ ก่อนจะไปหยุดตรงกองทหารพันคนด้านหลังสีหน้าเขายินดีขึ้นมาทันที
“ เขตรวมปราณหนึ่งพันคน ดีมาก! ประหยัดเวลาข้าได้จริงๆ ” กลิ่นอายชั่วร้ายกระจายออกมาจากร่างของชายหนุ่มชุดดำ มันค่อยๆรวมตัวเป็นเงาร่างมารร้ายที่มีเขาทั้งสี่งอกอยู่บนศีรษะ แขนทั้งสี่ข้างจับดาบอาวุธมารหลายชนิดที่มีขนาดใหญ่เอาไว้
เงาร่างมารร้ายนั้นขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆจนสูงเกินสิบเมตร มันจ้องมองเหล่าทหารด้วยความกระหายเลือด
!!
“ จอมมารกลืนวิญญาณ…. ” หนึ่งในผู้คุ้มกันหยางเจี้ยนพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว เขาส่งเสียงทางลมปราณบอกหยางเจี้ยนทันที “ นายน้อยท่านรีบหนีไปเดี๋ยวนี้ ข้ากับจางหยงจะถ่วงเวลาไว้ให้ ”
แต่ยังไม่ทันที่หยางเจี้ยนจะได้ขยับตัว
เงาร่างมารร้ายก็ฟันดาบกวาดไปทางกลุ่มทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ทันที ทุกที่ที่ดาบนั้นกวาดผ่านไปจะเหลือเพียงศพแห้งกรังที่พลังชีวิตถูกดูดกลืนไปสิ้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีผู้ใดตั้งตัวทัน ทหารหลายสิบคนก็กลายเป็นซากศพร่วงลงไปกองกับพื้น
“ หมัดมังกรอัคคี ” “ แปดดาบอัสนีบาต ” สองผู้คุ้มกันเปิดฉากเข้าโจมตีทันที
กองทหารองครักษ์นับพันก็หันอาวุธเข้าหาจอมมาร แต่เหมือนเป็นการดิ้นรนที่ไร้ค่าซากศพที่โดนดูดกลืนพลังชีวิตยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สองผู้อาวุโสปราณนภาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนต้องอาศัยการระเบิดอาวุธเวทคู่กายเพื่อหลบหนีตามหยางเจี้ยนออกไป โดยต้องตัดใจทิ้งให้เหล่าทหารที่เหลือไว้เป็นเหยี่อล่อ
ส่วนเหยี่ยนฮ่าวนั้น ได้หลบหนีเขาไปป่าต้องห้ามตั้งแต่ชายหนุ่มชุดดำหันไปสนใจกองทหารของหยางเจี้ยนแล้ว อาจเพราะด้วยขั้นพลังที่ต่ำจึงไม่ดึงดูดความสนใจจากจอมมาร เขาเลยสามารถหลบหนีได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีพวกทหารกองลาดตระเวนอีกสองกลุ่มหนีตายตามเขาเข้ามาด้วย จึงเกิดเป็นการไล่ลากันต่อในป่าต้องห้าม
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่างก็อยู่ในสายตาของสองพี่น้องตระกูลไป่ที่เฝ้าดูผ่านคันฉ่องส่องหล้า ไป่ฟงรีบหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาทันที
“ ท่านปู่ จอมมารกลืนวิญญาณเจี่ยสือปรากฎตัวแล้ว ”