บท
ตั้งค่า

บทที่3 อันดับ1มังกรรุ่นเยาว์

“ หยางเจี้ยน ”   

เหยี่ยนฮ่าวพึมพำชื่อนี้ออกมาเบาๆ ในสงครามครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ของแคว้นจ้าวส่งบุตรชายคนโตออกศึกแทน  โดยมอบอำนาจควบคุมกองทัพให้หมดสิ้น  การตัดสินใจครั้งนี้สร้างความตกตะลึงให้คนในแคว้นทั้งสองเป็นอย่างมาก  แม้ยังมีกลุ่มคนผู้ไม่ประสงค์ดีบางกลุ่มคอยปลุกปั่นปล่อยข่าวด้านลบเกี่ยวกับการมอบอำนาจโดยมิชอบของแม่ทัพใหญ่แคว้นจ้าว แต่ก็ไม่อาจสั่นครอนความเชื่อมั่นของคนส่วนใหญ่ได้

นามของคนก็เหมือนเงาของไม้ หยางเจี้ยนชื่อนี้โด่งดังไปทั่วเจ็ดแคว้นมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ในสมัยที่เหยี่ยนฮ่าวยังเด็กก็มักได้ยินเรื่องเล่าของเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในแผ่นดิน ซึ่งอันดับหนึ่งตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็คือหยางเจี้ยน  ด้วยพรสวรรค์ระดับเพชรคนเดียวในรอบสองร้อยปี  ถึงกับมีผู้อาวุโสสูงสุดจากนิกายเก้ามังกรที่เป็นสำนักระดับสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดมารับเป็นศิษย์สืบทอดด้วยตนเอง

อายุ 15 ปีรวมปราณ

อายุ 23 ปีปราณปฐพี

อายุ 25 ปีตระหนักรู้ คนกระบี่ผสานเป็นหนึ่ง

เป็นอันดับหนึ่ง ของอันดับมังกรรุ่นเยาว์

ในวัยเด็กของเหยี่ยนฮ่าว  หยางเจี้ยนผู้นี้มีอิทธิพลต่อความคิดของเขาอย่างมาก ฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เป็นเสมือนเป้าหมายและเป็นแรงผลักดันให้เขาตั้งใจฝึกฝนวิชายุทธอย่างหนัก 

และด้วยความมุมานะและความฉลาดเฉลียวเกินวัย เหยี่ยนฮ่าวในช่วงนั้นผลักดันตนเองจนโดดเด่นเหนือเด็กรุ่นเดียวกันจนถูกเรียกเป็นอัจฉริยะน้อยตระกูลเหยี่ยน  มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองวารีพิสุทธ์เป็นความหวังของคนทั้งตระกูล 

แต่ความเป็นจริงมักจะโหดร้าย ตอนเขาอายุแปดขวบได้เข้าพิธีตรวจสอบพรสวรรค์ของแคว้นฉู่ที่เมืองหลวง  ซึ่งเป็นพิธีที่จัดให้นิกายระดับสูงๆได้เข้ามาคัดเลือกต้นกล้าดีๆไปฝึกฝน เป็นโอกาสให้ตระกูลชั้นสูงได้อวดโอ่ศักยภาพของเด็กรุ่นเยาว์   

แต่หลังจากที่มือของเหยี่ยนฮ่าวได้สัมผัสศิลาสวรรค์  มันกลับมีเพียงแสงสีเงินจางๆทอประกายออกมาเท่านั้น 

แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเพียงพรสวรรค์ระดับเงินขั้นต่ำ ซึ่งดีกว่าพรสวรรค์ระดับทองแดงของชาวบ้านธรรมดาเพียงนิดเดียว  สร้างความผิดหวังให้คนในตระกูลเป็นอย่างยิ่ง  ทั้งมันยังเป็นพรสวรรค์ที่อยู่ระดับต่ำสุดของเด็กในตระกูลเดียวกันที่มาร่วมพิธีรอบนี้อีกด้วย

ในเวลานั้นท่านแม่ได้เข้ามาอุ้มเขาไปกอดเอาไว้แล้วกล่าวปลอบเบาๆ  ส่วนท่านพ่อก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วได้แต่ถอนหายใจ  เขามองเห็นความผิดหวังในแววตาคู่นั้นได้  สีหน้าลูกพี่ลูกน้องและสหายวัยเดียวกันจากที่เคยนับเคารพนับถือ เปลี่ยนเป็นดูถูกเหยียดหยาม  จากความหวังของตระกูลกลายเป็นเพียงเศษสวะ 

เวลานั้นเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับถึงจวนตระกูลเหยี่ยนตอนไหน  จนผ่านเวลาไปถึงสามวันเขาถึงเริ่มทำใจได้ เลิกสนใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนรอบข้าง แล้วหันมาตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่าเดิม จนกระทั่งเหตุการณ์อีกอย่างที่ที่สร้างบาดแผลในใจให้เขาที่สุดได้เกิดขึ้น

สองปีหลังจากที่เหยี่ยนฮ่าวกลับมาจากตรวจสอบพรสวรรค์ที่เมืองหลวง  ในวันที่ตัวเขาวัยสิบขวบกำลังตั้งใจอ่านตำราเรียนอยู่กับท่านแม่  ทันใดนั้นท่านพ่อที่พึ่งกลับมาจากการประชุมประจำปีของตระกูล ก็เดินเข้ามาในตัวตึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ท่านพ่อได้เรียกท่านแม่เข้าไปพบในห้องหนังสือ...

เสียงถกเถียงเสียงร้องให้ดังอยู่ในห้องเป็นเวลาสองชั่วโมง  หลังจากที่ประตูเปิดออกมาท่านแม่ก็วิ่งออกมากอดตัวเขาไว้แล้วร้องให้เสียงดัง ส่วนท่านพ่อนั่งดื่มสุราอยู่ในห้องนั้นสีหน้าท่านดูชราลงไปมาก  

เพียงหนึ่งวันผ่านไปข่าวร้ายก็กระจายไปทั่วตระกูล 

ในพิธีตรวจพรสวรรค์ที่เมืองหลวงปีนี้บุตรสาวคนรองตระกูลซ่ง ซ่งอี้เฟยคู่หมั้นของเขา มีพรสวรรค์ระดับทองชั้นกลาง ได้รับเลือกให้เป็นศิษย์สายตรงของเจ้าตำหนักวิหควารี ซึ่งเป็นสำนักระดับสี่ ทางตระกูลซ่งจึงส่งหนังสือขอถอนหมั้นมา โดยมีผู้อาวุโสระดับสูงของตำหนักวิหควารีเดินทางมามอบให้ด้วยเอง

ตระกูลซ่งนั้นเป็นตระกูลอันดับสามในเมืองวารีพิสุทธิ์ ซึ่งมีอำนาจด้อยกว่าตระกูลเหยี่ยนที่เป็นอันดับหนึ่งมาก  อีกทั้งตระกูลเหยี่ยนยังเป็นตระกูลแม่ทัพเก่า ท่านพ่อของเขาเป็นถึงแม่ทัพรักษาเมืองคนปัจจุบัน ความเป็นจริงตระกูลซ่งไม่ควรกล้าฉีกหน้าตระกูลเหยี่ยนถึงเพียงนี้

หากเพียงแต่ มีจดหมายฉบับหนึ่งแนบมาพร้อมหนังสือถอนหมั้น มันเป็นจดหมายที่เจ้าตำหนักวิหควารีเขียนและลงนามด้วยตัวเอง เนื้อความเป็นการชี้ให้เห็นว่าพรสวรรค์ของซ่งอี้เฟยนั้น สามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นปราณนภาขั้นปลายได้แน่นอน ซึ่งจะมีอายุขัยถึงหนึ่งพันปี ซึ่งสามารถเป็นถึงผู้อาวุโสหลักของสำนักระดับสี่ได้ และนางตั้งใจจะรับซ่งอี้เฟยเป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของนางเอง 

ในขณะที่ตัวเหยี่ยนฮ่าวนั้นมีพรสวรรค์เพียงระดับเงินขั้นต่ำ ฝึกฝนไปชั่วชีวิตก็อยู่เพียงในขั้นรวมปราณ มีอายุขัยเพียงร้อยปี ซึ่งมีความสามารถเป็นได้เพียงผู้ดูแลฝ่ายนอกเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเทียบชั้นกันได้  ขอให้ตระกูลเหยี่ยนจัดการเรื่องถอนหมั้นให้เรียบร้อย

จดหมายฉบับนี้ได้สร้างความโกรธแค้นและอับอายให้กับตระกูลเหยี่ยนอันมาก จนท่านปู่ที่เป็นเจ้าตระกูลถึงกับใช้ฝ่ามืดฟาดไปที่โต๊ะประชุมคลายโทสะจนมันแหลกเป็นผง เรื่องในครั้งนี้ยังแพร่กระจายไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วจนคนทั่วเมืองต่างรับทราบทั้งสิ้น

 

แคว้นฉู่นั้นมีสำนักระดับสี่ทั้งหมด 3สำนัก ตั้งอยู่ในเมืองหลวง  คอยปกครองดูแลสำนักระดับสามประจำเมืองทั้ง12เมืองในแคว้น

โดยส่วนใหญ่เจ้าเมืองนั้นจะถูกส่งมาจากทางเมืองหลวง เพื่อดูแลด้านภาษีและการปกครอง แต่ผู้ถืออำนาจในเมืองจริงๆจะเป็นเจ้าสำนักระดับสามซึ่งมีขั้นฝึกฝนอยู่ที่ประมาณปราณนภาช่วงต้นเท่านั้น   ขอแค่สำนักระดับสี่ส่งผู้อาวุโสระดับปราณนภาขั้นปลายมาซักสองสามคนก็แทบจะกวาดล้างเมืองได้แล้ว ทำให้ตระกูลเหยี่ยนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความอับอายครั้งนี้เอาไว้

 

ตัวเหยี่ยนฮ่าวในตอนนั้นอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น  ต้องทนรับแรงกดดันจากคนในตระกูล  รับความอับอายดูถูกจากคนในเมือง ในเวลานั้นเขาทำได้เพียงกัดฟันและอดทน แม้คับแค้นใจเพียงใดก็ไม่สามารถแสดงออกมาภายนอก  เขาไม่อยากให้พ่อแม่ต้องวิตกกังวล

เพราะเหตุการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นนั้นบ่มเพาะให้เหยี่ยนฮ่าวมีความอดทนหนักแน่น มีความคิดเติบโตเกินวัย ยิ่งได้รับการสั่งสอนด้วยความเข้มงวดจากบิดาตนเอง และยังได้รับความรักดูแลเอาใจใส่จากมารดา ทำให้เขายังรักษาสภาพจิตใจอันดีงามไว้ได้ ลูกผู้ชายขอเพียงทำอะไรไม่ละอายต่อฟ้าดิน ก็ไม่ต้องสนใจว่าผู้อืนจะมองเราเช่นไร

เหยี่ยนฮ่าวเก็บตัวฝึกฝนอย่างหนักกว่าเด็กคนอื่นในตระกูลสามเท่า ทางบิดามารดาก็สนับสนุนเขาเต็มที่ด้วยทรัพย์สินส่วนตัวของพวกท่านเอง  เพราะด้วยพรสวรรค์ที่ต่ำต้อยและเรื่องการถอนหมั้นครั้งนั้นทางตระกูลจึงตัดทรัพยากรฝึกตนส่วนของเขาออก  เป็นเหมือนผู้ที่ถูกลืมทุกคนต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้าหา  ชีวิตเขาในตอนนั้นมีเพียงพ่อแม่และบ่าวรับใช้อีกไม่กี่คนเท่านั้น

โชคดีที่ท่านพ่อเขาถือเป็นยอดฝีมือระดับสูงอันดับต้นๆของตระกูล  ส่วนท่านแม่เขาก็มีความรอบรู้ด้านการศึกษาระดับสูง  ด้วยการสั่งสอนจากทั้งสองท่าน และความมุ่งมั่นของตัวเขาเองทำให้ตัวเขานั้นก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงกว่า

เขาไม่เชื่อว่าชีวิตเขาจะจบลงที่ขอบเขตรวมปราณ  เขาฝึกฝนอย่างหนักทุกๆวัน จนกระทั่งเมื่ออายุครบ15ปี เขาก็อาสาเป็นตัวแทนตระกูลเข้าร่วมกองทัพเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง ลบล้างคำสบประมาทที่เคยได้รับ

เด็กรุ่นเดียวกันในตระกูลมองว่าเขาบ้าที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง แต่เขาได้ตัดสินใจดีแล้วหลังจากเห็นของสะสมในจวนท่านพ่อถูกขายไปทีละชิ้น  กล่องเครื่องประดับของท่านแม่ที่เกือบจะว่างเปล่า เพราะพรสวรรค์เขานั้นต่ำจึงต้องการทรัพยากรมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เขาจึงไม่อาจให้พ่อกับแม่เขาต้องเสียสละเพื่อเขามากกว่านี้  

กองทัพไม่เคยตระหนี่กับการที่จะเลี้ยงดูทหารให้เข้มแข็ง ยิ่งการแสดงออกของเขาโดดเด่นเท่าไร ก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น  อีกทั้งยังมีทรัพยากรล่ำค่าบางอย่างที่จะสามารถแลกได้ด้วยแต้มผลงานในสนามรบเท่านั้น

ซึ่งตระกูลเหยี่ยนแต่เดิมก็เป็นตระกูลแม่ทัพสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต ด้วยผ่านการรบในสงครามมาหลายครั้ง จึงเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย จนลูกหลานมีชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต้องดินรน แต่เพราะเหตุนี้ลูกหลานบางส่วนก็อาศัยอำนาจของตระกูลแยกตัวไปทำธุรกิจอื่น  ทำให้อำนาจทหารในมือเริ่มลดน้อยลง

ตอนนี้มีเพียงผู้อาวุโสรุ่นเก่าๆไม่กี่คนกับพ่อของเขาเท่านั้นยังเป็นเสาหลักของตระกูลตอนนี้ เพราะได้รับการแต่งตั้งยศแม่ทัพจากผลงานในสนามรบจึงมีเส้นสายกับทางกองทัพเมืองหลวง 

ครั้งนี้ตัวเหยี่ยนฮ่าวเองเป็นเพียงรุ่นเยาว์คนเดียวเท่านั้นที่เสนอตัวออกไปรบพร้อมผู้อาวุโสในตระกูล

 คนเราหากไม่เอาชนะความลำบาก ทำลายอุปสรรคด้วยตนเอง แล้วจะเปล่งประกายได้อย่างไร

 

กองทหารม้านับพันยืนเข้าแถวตามหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ด้านหน้ามีหัวหน้ากองลาดตระเวนทั้งสามกำลังคุกเข่าทำความเคารพแบบทหาร  แล้วรายงานสถานการณ์ให้แม่ทัพหนุ่มทราบ

 

“ เจ้าบอกว่าเด็กหนุ่มที่เป็นนักสู้ระดับเจ็ด ใช้หอกเล่มเดียวป้องกันเกาทัณฑ์จากยอดผีมือนักสู้ระดับเก้าสามคนได้เป็นเวลาชั่วโมงกว่าแบบสบายๆงั้นรึ ”  หยางเจี้ยนถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ ขอรับท่านแม่ทัพ ”   หัวหน้าจ้าวกล่าวรับด้วยความเคารพ

“ น่าสนใจ…อาเว่ยเจ้าลองไปสู้ดู ” ทหารหนุ่มคนสนิทกระโดดลงจากหลังม้า ก้าวออกมารับคำสั่ง  “ รับบัญชา ” จากนั้นเขาก็ชักดาบออกมาสืบเท้าเข้าหาเหยี่ยนฮ่าวทันที

 

 

“ น่าจะอายุพอๆกับข้า  แต่พลังสูงกว่าข้าสองขั้นเลยรึ ” เหยี่ยนฮ่าวพึมพำออกมาเสียงเบา  เขามองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น 

ตั้งแต่มีกองทัพทหารม้าหนึ่งพันคนเข้ามาเกี่ยวด้วยก็แทบจะปิดทางถอยเขาเอาไว้เลย  เขาพลาดเองที่ตกอยู่ในภวังค์ตอนพยามหล่อหลอมเทคนิคการใช้หอก จนหลงลืมแผนการหลบหนีของตนเอง เมื่อรู้ตัวอีกทีจิตสังหารของนักรบระดับสูงสองคนก็กดทับมาที่ตัวเขาแล้ว  ถ้าเขาขยับถอยหรือตัดสินใจพลาดไปคงสิ้นชีพอยู่ตรงนี้แน่

 

“ คงเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกับท่านพ่อ ” เหยี่ยนฮ่าวเหลือบมองไปทางทหารวัยกลางคนสองคนที่ปะปนอยู่กับกลุ่มทหารองครักษ์ของหยางเจี้ยน ทั้งคู่ดูกลมกลืนไม่โดนเด่นเหมือนเป็นเพียงพลทหารทั่วไป 

ด้วยเคล็ดจิตอาชูร่าทำให้เขามีสัมผัสไวต่อจิตสังหารมาก  มันสมกับที่เป็นเคล็ดวิชาระดับเทพ หากเขาสามารถเรียนรู้จนสำเร็จขั้นแรกก็จะใช้มันโจมตีได้  อานุภาพคงเหนือชั้นไปกว่าเคล็ดวิชาทั่วไปหลายเท่า

 

ควับ  ควับ 

ดาบเล่มหนึ่งฟันกวาดเข้าใส่ใบหน้าเหยี่ยนฮ่าวสองครั้งซ้อน แต่ก็ถูกเหยี่ยนฮ่าวใช้หอกป้องกันแล้วเบี่ยงตัวหลบออกมาได้

 

           “ ในเวลาต่อสู้ยังกล้ามองไปทางอื่น  ช่างอ่อนหัดสิ้นดี ”  อาเว่ยพูดขึ้นด้วยเสียงดูถูกแต่ดาบในมือกลับไม่อยู่นิ่ง  ยังคงออกกระบวนท่าโจมตีเข้าใสเหยี่ยนฮ่าวอย่างต่อเนื่อง

 

          การต่อสู้ในช่วงระดับนักสู้นั้นจะอาศัยเพียงกระบวนและพละกำลังในการเข้าห้ำหั่นกันเนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถใช้ปราณได้  จึงสามารถอาศัยเพียงประสบการณ์และความเข้าใจในเคล็ดวิชา ถึงจะชดเชยความแตกต่างของพละกำลังได้   

ถึงแม้ระดับของเหยี่ยนฮ่าวจะต่ำกว่าอีกฝ่ายถึงสองขั้น  เรี่ยวแรงระหว่างนักสู้ระดับเจ็ดกับนักสู้ระดับเก้ามีช่องว่างอยู่สี่พันจิน   แต่ในด้านกระบวนท่าและประสบการณ์นั้นเหยี่ยนฮ่าว กลับเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด   อีกฝ่ายทำได้แค่ออกแรงโหมโจมตีมากขึ้นจนเริ่มเหนื่อยอ่อน  ในขณะที่เหยี่ยนฮ่าวเริ่มคุ้นชินกับเพลงดาบของอาเว่ย  เขาอาศัยเพียงการใช้แรงเล็กน้อยในการเบี่ยงตัวหลบ แล้วใช้หอกในมือแทงย้ำไปตรงช่องโหว่ที่อีกฝ่ายเปิดออกมา

“ หลบเก่งนักนะ ”  อาเว่ยบ่นออกมาอย่างหัวเสีย  หลังจากโดนเหยี่ยนฮ่าวบีบให้ต้องถอยมาตกเป็นฝ่ายป้องกันอีกรอบ

 เวลาผ่านไปอีกสิบลมหายใจ

“ พอได้แล้ว ” หยางเจี้ยนพูดออกมาด้วยความรำคาญ แล้วชักกระบี่ฟันกวาดออกมาเบาๆ รังสีกระบี่สีฟ้าอ่อนพุ่งเข้าใส่เหยี่ยนฮ่าวจนกระเด็นออกไป   

ครืด  ฟุบ ฟุบ

หลังจากที่เท้าแตะพื้น เหยี่ยนฮ่าวก็ยังต้องเซถอยหลังไปอีกหลายก้าว และมีเลือดไหลซึมออกมาที่มุมปากเล็กน้อย เขากลืนเลือดคำนั้นเข้าไปแล้วใช้หอกค้ำยันพื้นไว้ หลังรู้สึกว่าอาการดีขึ้นก็หันกลับไปมองหยางเจี้ยนที่นั่งอยู่บนหลังม้ามังกรขาวด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

กรุบ กรับ

ม้ามังกรขาวเดินเข้ามาใกล้เหยี่ยนฮ่าวอย่างช้าๆ จนมาหยุดห่างจากเหยี่ยนฮ่าวเพียงไม่ถึงสิบก้าว  แววตาหยางเจี้ยนมองเหยียดลงมาที่เหยี่ยนฮ่าวอยู่อึดใจหนึ่ง  เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เหยี่ยนฮ่าวยังคงยืนหลังตรงมองสบตาเขาได้แบบไม่เกรงกลัว   ความแตกต่างของขอบเขตปราณปฐพีขั้นปลาย กับนักสู้ระดับเจ็ดนั้นมันเหมือนการบี้มดตัวหนึ่ง 

เจ้าเด็กคนนี้ดูเหมือนมันไม่กลัวจะโดนเขาสังหารทิ้งเลยรึไง

“ บอกชื่อเจ้ามา ” เสียงหยางเจี้ยนดังขึ้น พร้อมกับปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่ใบหน้าเหยี่ยนฮ่าว  จิตต่อสู้เขาระเบิดออกมาเป็นเงาร่างมังกรสีเงินขนาดใหญ่ด้านหลัง มันสะกดข่มเหยี่ยนฮ่าวจนร่างกายสั่นสะท้านขยับตัวไม่ได้

แค่เพียงเขาถ่ายเทลมปราณเข้าไปในกระบี่อีกเพียงเล็กน้อย ที่ตรงนี้ก็จะมีศพเพิ่มขึ้นมาอีกศพหนึ่ง!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel