บทที่6 ตระกูลผู้พิทักษ์
ณ โบราณสถานใจกลางป่าต้องห้าม
คนกลุ่มหนึ่งกำลังทำพิธีบางอย่างอยู่ตรงทะเลสาบอันเย็นยะเยือกที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ประกอบไปด้วยชายชราสี่คน ที่มีระดับพลังไม่ธรรมดา เพียงแต่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเหมือนได้รับบาดเจ็บภายใน หนึ่งในนั้นที่มีรัศมีทรงพลังที่สุด รูปร่างสูงใหญ่ไว้เคราสีขาวยาวถึงอก แม้จะอายุมากแล้วแต่ผิวหนังยังเต่งตึง มีสง่าราศีดุจเทพเซียน เขาหันมองไปด้านหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา
“ ออกมาเถอะ ” เขาเปล่งเสียงออกไม่ดังมาก แต่มันกลับสะท้อนไปทั่ว แสดงให้เห็นถึงลมปราณอันลึกล้ำ
“ ท่านปู่ ” เงียบอยู่เพียงสองลมหายใจ ก็มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินออกมาร้องเรียกเบาๆ นางมีใบหน้ารูปไข่งดงามหมดจด ผมสีดำเป็นประกาย รูปร่างสูงโปร่ง อายุประมาณยี่สิบปีด้านหลังนางมีหญิงวัยกลางคนเดินตามออกมา เหมือนเป็นผู้คุ้มกันแสดงสีหน้าเหมือนอับจบหนทาง
“ เจ้ามาทำอะไรที่นี่…ทำไมถึงขัดคำสั่งปู่ ” ชายชราดุออกมาเสียงดัง
“ แต่ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลผู้พิทักษ์ มีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินนี้เช่นกัน ข้าไม่อาจปล่อยให้พวกท่านต้องเสียสละชีวิตเองได้ ” นางกล่าวออกมาอย่างไม่ยอมแพ้
“ ไป่ซือเหยา! ในเมื่อเจ้ารู้ตัวเองเป็นคนในตระกูลผู้พิทักษ์ ก็ควรรู้ด้วยว่าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรบ้าง พวกข้ายอมตายได้ แต่เจ้าต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ไม่ให้การเสียสละของพวกเราต้องเสียเปล่า ”
“ คนในตระกูลผู้พิทักษ์ไม่เกรงกลัวความตาย ท่านปู่ ข้าสืบทอดสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของบรรพบุรุษเซียนไว้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเสริมผนึกตราประทับสะกดมารไว้ เราไม่ต้องถกเถียงกันอีกแล้ว ” ไป่ซือเหยาตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
เห็นไป่ซือเหยาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจยาว กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ ซือเหยาเจ้าอายุยังน้อยทั้งยังมีศักยภาพสูงที่สุดในรอบพันปีของตระกูลเรา อนาคตเจ้าจะก้าวข้ามปู่เป็นเสาหลักให้ตระกูลเราในวันข้างหน้า ตัวปู่เองไม่มีศักยภาพพอ ไม่สามารถฝ่าด่านทัณฑ์สายฟ้าก้าวไปเป็นเซียนได้ เพียงอยู่รอวันหมดอายุขัย ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องมาพูดถึงเรื่องนี้อีก ” ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ
กระแสปราณระเบิดขึ้นกะทันหัน ตรงเข้าสกัดกั้นเส้นลมปราณไป่ซือเหยาไว้ทันที ทำให้ไม่สามารถขยับกายหรือเคลื่อนไหวได้
“ ท่านปู่ ! ” นางอุทานด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าท่านปู่จะใช้วิธีนี้ ความตระหนกความกังวลผสมอยู่ในหัวใจของนาง ทำให้น้ำตาซึมออกมาที่ขอบตาดูน่าสงสาร นับตั้งแต่นางเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ท่านปู่เป็นคนที่รักและดูแลสั่งสอนนางมาโดยตลอด ตลอดเวลาสิบห้าปีท่านปู่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดฝึกฝนเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ ความผูกพันนั้นไม่ต้องคำนึงถึง
ชายชราไม่หวั่นไหวกับท่าทีของของไป่ซือเหยา เขาหันไปสั่งการอย่างเด็ดขาดกับหญิงวัยกลางคนที่เป็นผู้คุ้มกัน
“ ปกป้องนางให้ดี ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ห้ามให้เกิดอันตรายกับนาง ”
“ บ่าวทราบ ” ผู้คุ้มกันหญิงรับคำอย่างหนักแน่น แล้วรับเอาไป่ซือเหยาหลบออกไป ด้านข้าง
ชายชรายืนหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต
ตัวเขาเอง มีนามว่าไป่เทียนหยู่ เป็นอดีตผู้นำตระกูลผู้พิทักษ์คอยปกป้องดูแลผืนแผ่นดินทั้งเจ็ดแคว้นจากสิ่งชั่วร้ายที่มาพร้อมกับดาวตกเมื่อสองหมื่นปีก่อน พวกมันคือมารที่แท้จริงมาจากนอกโลก เพียงแค่กลิ่นอายเล็กน้อยจากตัวมันก็ก่อให้เกิดภูตผีวิญญาณร้ายออกอาระวาดเข่นฆ่าผู้คน จนกระทั่งบรรพชนรุ่นแรกใช้เวลาร้อยปีบวกกับของวิเศษที่ถูกผนึกอยู่ในเศษดาวตกจนทะลุขีดจำกัดกลายเป็นเซียน เข้าต่อสู้สังหารมารร้ายจนแทบสิ้นซาก เหลือเพียงตัวผู้นำของเหล่ามารร้ายที่ทำได้เพียงผนึกเอาไว้ในป่าแห่งนี้
หลังศึกครั้งนั้นท่านบรรพชนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเหลืออายุขัยเพียงสิบปี ด้วยความกังวลว่าหลังตนเองตายไปมารร้ายจะทำลายผนึกออกมา ในปีที่สิบก่อนที่ท่านบรรพชนจะสิ้นอายุขัยจึง สังเวยร่างตนเองเป็นตราประทับสะกดมารให้มันหลับใหลไปตลอดกาล พร้อมทั้งมอบวิธีควบคุมผนึกทิ้งไว้ให้ลูกหลานเป็นผู้รับภาระหน้าที่ในการปกป้องผืนแผ่นดินนี้ต่อไป
ด้วยความที่สืบทอดสายเลือดจากบรรพบุรุษที่เป็นเซียน ทำให้ทุกคนในตระกูลมีพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่เกิดแม้แต่เด็กธรรมดาในตระกูลก็มีพรสวรรค์ระดับทองเป็นอย่างน้อย ส่วนลูกหลานจากตระกูลหลักมักจะเกิดผู้มีพรสวรรค์ระดับเพชรออกมาอยู่เรื่อยๆ
แต่เหมือนสายเลือดเซียนนั้นแข็งแกร่งจนเกินไปจนฝืนสัจธรรมของโลก ทำให้ตระกูลผู้พิทักษ์มีทายาทเกิดใหม่น้อยมาก ผ่านเวลามาเกือบสองหมื่นปี ปัจจุบันมีคนในตระกูลรวมกันเพียงสองพันคนเท่านั้น
ด้วยถือเอาภาระหน้าที่เป็นสำคัญและชืดชาต่อชื่อเสียง ตระกูลผู้พิทักษ์จึงคอยปกป้องดูแลแผ่นดินอยู่เบื้องหลัง ไม่เปิดเผยตัวต่อโลกภายนอก มีเพียงบุคคลสำคัญของสำนักระดับสูงเท่านั้นที่มีโอกาสรู้ถึงตัวตนและสามารคติดต่อตระกูลผู้พิทักษ์ได้
แต่เมื่อสิบห้าปีก่อนได้เกิดเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วตระกูลผู้พิทักษ์ สำนักมารระดับสูงสี่สำนักหลงเชื่อคำยุยงจากมารร้ายรวมตัวกันเพื่อทำลายผนึกของบรรพชนเซียน ในศึกครั้งนั้นแม้จะสามารถกวาดล้างสำนักมารเหล่านั้นและปกป้องผนึกเอาไว้ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง หนึ่งในเจ้าสำนักมารสังเวยตัวเองทำให้ผนึกอ่อนกำลังลง เปิดโอกาสให้มารร้ายที่ถูกผนึกตื่นจากการหลับใหล และปลดปล่อยการโจมตีออกมาได้เพียงหนึ่งลมหายใจ ทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลร้อยกว่าคนและบิดามารดาของไป่ซือเหยาเสียชีวิต
และเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผนึกเริ่มอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างช้าสุดอีกไม่กี่สิบปี มารร้ายตนนั้นคงทำลายผนึกออกมาได้เอง การจะซ่อมแซมผนึกต้องใช้โลหิตเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพชนเท่านั้น
ไป่เทียนหยู่ ลืมตาขึ้นหันไปมองผู้อาวุโสคนอื่นๆและพยักหน้า “ เริ่มกันเถอะ ”
ขณะที่เขาพูด พลังปราณอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากร่าง เมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสด้านข้างพลังปราณนั้นก่อตัวเป็นลำแสงยิงตรงไปกลางทะเลสาบ พายุพลังงานพัดโหมกระหน่ำ น้ำในทะเลสาบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เสาหินขนาดใหญ่สี่เสาค่อยๆลอยโผล่ขึ้นมาจากในทะเลสาบ แต่ละเสาถูกแกะสลักเป็นอสูรเทวะประจำทิศทั้งสี่ คือ เต่าดำ มังกรเขียว หงส์แดง และพยัคฆ์ขาว
เสาหินทั้งสี่เสาเชื่อมต่อด้วยโซ่เส้นใหญ่สีดำ ใจกลางเขตแดนผนึกของเสาทั้งสี่ มีโรงศพสีดำขนาดใหญ่ถูกมัดด้วยโซ่สีดำที่มาจากเสาทั้งสีด้าน บนโลงศพนั้นมีร่างผอมซูบราวโครงกระดูกอยู่ในชุดสีขาว ทั่วร่างนั้นเปล่งประกายดุจหยก เพียงแต่ตอนนี้สามารถมองเห็นรอยแตกร้าวมากมายบนร่างนั้น เหมือนจะพังทลายไปได้ทุกเมื่อ นี่คือร่างของบรรพชนเซียนตระกูลผู้พิทักษ์
ในเวลานั้นสีหน้าของไป่เทียนหยู่เคร่งเครียด การพังทลายของผนึกเลวร้ายกว่าที่คาดมากนัก หากยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ผ่านไปอีกเพียงสองสามปีเจ้ามารร้ายตนนั้นคงออกมาได้
ไป่เทียนหยู่และผู้อาวุโสเดินเหยียบอากาศตรงไป ที่ร่างของบรรพชนเซียนแล้วกรีดข้อมือออก เลือดทะลักออกมาจากปาดแผล และลอยอยู่บนเขตอาคม
“ เปิด ”
โลงศพที่ลอยอยู่บนอากาศสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เกิดลมหมุนสีดำขึ้นตรงร่างของบรรพชนเซียนดูดเอาเลือดทุกหยดเข้าไป
ครืนน!
ขณะนั้นเองกลิ่นอายชั่วร้ายจำนวนมากซึมออกมาจากโลงศพ โซ่สีดำที่ผนึกฝาโลงไว้เริ่มผุพังอย่างรวดเร็ว ความกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่พวกไป่เทียนหยู่จนแทบตกจากบนอากาศ ซ้ำรายยังกัดกร่อนปราณคุ้มกายอย่างรุนแรง
“ อดทนเอาไว้…กระตุ้นปราณคุ้มกันผลักดันกลิ่นอายมารออกไป ”
ไปเทียนหยู่กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด เขาเร่งมือซ่อมแซมตราสะกดให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในเวลานั้นสีหน้าเหล่าผู้อาวุโสเริ่มซืดขาวดูแก่ชราลงเรื่อยๆ ร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ผิวพรรณสูญเสียความยืดหยุ่นอย่างรวดเร็ว มันเริ่มแห้งกรังและหย่อนยาน เหมือนผ่านเวลาไปหลายสิบปีในชั่วพริบตาเดียว
ภายใต้กระแสเลือดที่พลุ่งพล่านถูกดูดเข้าไปในร่างของบรรพชนเซียน ตราผนึกเริ่มซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว โซ่สีดำที่ผนึกโรงศพไว้ฟื้นฟูกลับมาด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า รอยร้าวทั่วร่างของบรรพชนเซียนเริ่มสมานตัวกัน รูปร่างที่ซูบผอมเหมือนโครงกระดูกก็ฟื้นคืนกลับมาดุจตอนมีชีวิต กลิ่นอายมารรอบๆถูกสลายไปเรื่อยๆ
“ ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ” ไป่เทียนหยู่เวลานี้สูญเสียเลือดไปเกือบหมดร่างและใกล้จะถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกที พลังชีวิตที่เหลือทั้งหมดถูกใช้เพื่อประคองพิธีการซ่อมแซมไปให้แล้วเสร็จ เนื่องเพราะเขาทำหน้าที่เป็นคนกระตุ้นตราประทับ จึงรับภาระหนักที่สุด
ตูม !
ฝ่ามือที่เกิดจากปราณมารร้ายขนาดใหญ่พุ่งเข้าโจมตีเขตอาคมอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงฉีกขาดของเขตอาคมดังขึ้น ฝ่ามือนั้นจึงทะลุเข้ามาแล้วคว้าไปที่ไป่เทียนหยู่ทันที
วูป
“ ท่านปู่!…ไม่นะ…น้าหยางรีบปล่อยข้า ข้าจะไปช่วยท่านปู่ ” ไป่ซือเหยาตระโกนขึ้นด้วยความร้อนรน นางคลายผนึกปราณด้วยตัวได้นานแล้วแต่ถูกผู้คุ้มกันจับตัวไว้
“ ไม่เป็นไรนายหญิงน้อย นายท่านคาดการณ์เอาไว้แล้ว ” หลังเสียงของผู้คุ้มกันดังขึ้น ระฆังทองอันหนึ่งปรากฏออกมารับการโจมตีของฝ่ามือนั้นไว้ จากนั้นกระบี่ไม้อีกเล่มก็พุ่งทะลุอากาศเข้าโจมตีเงาร่างสีดำที่แอบซ่อนอยู่ในป่า จนต้องเผยตัวออกมา
“ อามิตตาพุท ” เสียงของพระชรารูปหนึ่งสวมจีวรสีทองเดินเหยียบอากาศออกมาจากด้านหนึ่งของทะเลสาบ ท่านกล่าวบทสวด โอม มณี ปัทเม ฮัม บทบรรเลงกรรมฐานแห่งพุทธองค์ดังสะเทือนไปทั่วบริเวณรอบๆ ระฆังทองหมุนวนเข้าผนึกการเคลื่อนไหวของจอมมารอย่างต่อเนื่อง
“ พวกข้ารอเจ้านานแล้ว ” นักพรตวัยกลางคนในชุดสีเทาเก่าๆ เหยียบกระบี่บินมาด้วยความเร็วสูง กล่าวขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน ด้านหลังเขาสะพายกระบี่ไม้อยู่สี่เล่ม ส่วนกระบี่เล่มที่ห้า กำลังประสานกับระฆังทอง กดดันจนเงาสีดำนั้นต้องถอยไปไกล
ตูม!
เงาร่างมารร้ายขนาดยักษ์ระเบิดออกมา มันมีเขาสี่เขางอกอยู่บนศีรษะ ใบหน้าดุร้ายมือทั้งสี่จับอาวุธเข้าฟาดฟันใส่ระฆังทองจนกระเด็นกลับไปหาพระชรา ส่วนกระบี่ไม้นั้นถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงสีดำจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ท่ามกลางแสงจันทร์ เงาดำที่ลอบโจมตีไป่เทียนหยู่ก็เผยตัว เป็นชายหนุ่มชุดดำหน้าตาชั่วร้ายที่เหยี่ยนฮ่าวเจอตรงชายป่าต้องห้าม จอมมารกลืนวิญญาณเจี่ยสือ
“ ลาโง่หัวล้าน กับพรตซมซ่อ นี่หมายความว่าไง ข้าจำได้ว่าเราไม่เคยผิดใจกัน หรือคิดจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้จริงๆ ” เจี่ยสือพูดขู่ออกมาด้วยความดุดัน “ ไม่กลัวว่าข้าจะไปฆ่าล้างสำนักพวกเจ้ารึ ”
จอมมารกลืนวิญญาณ สมญานามนี้ได้มาจากความโหดร้ายของวิชามารที่เจี่ยสือฝึกปรือมา ด้วยอาศัยการสังหารแล้วดูดกลืนวิญญาณมาเพิ่มพลังและยืดอายุขัยให้กับตนเอง ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงความโหดร้ายดังกระฉ่อนผ่านวันเวลามายาวนานนับหมื่นปี ถือเป็นผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งของเส้นทางมาร และเป็นผู้นำสามสำนักมารบุกโจมตีตราผนึกมารของตระกูลผู้พิทักษ์เมื่อสิบห้าปีก่อน
ด้วยอาศัยจังหวะที่คนในตระกูลผู้พิทักษ์บาดเจ็บล้มตายเพราะการโจมตีจากมารนอกพิภพที่ถูกผนึกไว้ จึงสามารถหลบหนีออกไปพร้อมกับสหายเจ้าสำนักมารอีกคนที่บาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังได้รับพลังมารส่วนหนึ่งที่เล็ดรอดจากตราผนึกมารไปด้วย
หลังจากใช้วิชาดูดกลืนวิญญาณกับสหายของตนจนสิ้นชีพ ทำให้พลังข้ามขีดจำกัดสองขั้นใหญ่ ก็ซุ่มเก็บตัวฝึกวิชาและรักษาอาการบาดเจ็บ โดยไม่สนใจสำนักมารของตนที่ถูกกวาดล้าง
ครั้งนี้ที่ปรากฏตัวออกมาด้วยเพราะมั่นใจในขีดขั้นพลังของตนว่าสูงสุดในเจ็ดแคว้น และเพราะต้องขัดขวางไม่ให้ตราผนึกถูกซ่อมแซม มิเช่นนั้นก็ต้องรอฝ่าด่านเป็นเซียนจึงจะอาศัยกำลังตนเองทำลายตราผนึกนี้ได้
“ ผู้อาวุโสไป่เทียนหวู่ ท่านรีบซ่อมแซมตราผนึกทางนี้ข้ากับท่านไต้ซือจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง ”
“ อามิตตาพุธ อาตมานำประคำสะกดมารมาด้วย คงเพียงพอที่จะตรึงเจี่ยซือไว้ได้” ทั้งสองคนพุ่งเข้าโจมจอมมารเจี่ยซือทันที สร้อยประคำสะกดมาร ขยายใหญ่ขึ้น พุ่งเข้าไปโอบรัดเงาร่างมารที่เจี่ยซือเรียกออกมา ส่วนระฆังทองก็ผสานกับกระบี่ไม้อีกสี่เล่มเข้าโจมตีผลักดันให้จอมมารออกไปไกลจากเขตแดนผนึกมากที่สุด
ทางฝั่งไป่เทียนหยู่ก็ได้เร่งมือ ถ่ายโลหิตซ่อมแซมค่ายกลตามแผนการที่วางเอาไว้ ขอเพียงฟื้นฟูร่างบรรพชนจนสมบูรณ์ได้ ก็มีวิธีที่จะกำจัดมารตนนี้ได้เช่นกัน