บทที่1 เวลา13ปี
ปี ค.ศ.2500 เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นบนโลก อาจด้วยความโลภความไม่รู้จักพอของมนุษย์ มีหลายประเทศต้องสูญสิ้นไป ภูเขาพังทลาย เกาะหลายแห่งจมลงไปในมหาสมุทร กัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์กระจายไปทั่วโลก บางทีมันอาจไม่มีผู้ชนะตั้งแต่ต้น ผู้มีอำนาจที่เหลืออยู่ต่างก็กลายเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งนั้น ทรัพยากรที่แย่งชิงกันก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น สุดท้ายแล้วหลังจากที่สิ่งมีชีวิตล้มตายเกินครึ่งโลก
ในขณะที่ความบ้าคลั่งกำลังจะกลืนกินโลกไปนั้นเอง
บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงดั้งก้องกังวานขึ้นมา ดาวหางมากมายร่วงหล่นลงมาเหมือนวันสิ้นโลก
นี่เป็นเหมือนการลงโทษจากพระเจ้าต่อมนุษย์ผู้ทำลาย สนามแม่เหล็กโลกเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง กฎต่างๆเหมือนถูกสร้างใหม่ เทคโนโลยีต่างๆรวมทั้งสิ่งก่อสร้างถูกทำลายหมดสิ้น อารยธรรมเหมือนจะถอยกลับไปในยุคเริ่มต้นอีกครั้ง
หลังจากการทำลายล้างสิ้นสุดลง มนุษย์ส่วนน้อยเพียงสิบเปอร์เซ็นที่รอดจากการลงทัณฑ์จากพระเจ้า ก็เริ่มออกมาจากที่หลบซ่อน เพียงแต่ครั้งนี้ โลกได้เปลี่ยนไปจนน่าตะลึง พลังงานบางอย่างที่มาพร้อมกับดาวตกนั้นเป็นพลังงานแบบใหม่แทรกซึมไปทุกแห่ง ผู้คนเรียกมันว่าพลังปราณวิญญาณ
เศษดาวตกที่ตกลงมากระจายไปทั่วโลกนั้น ล้วนเป็นหยกทั้งสิ้น มันประกอบด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง หลังจากที่มีคนไปสัมผัสจะสามารถรับรู้ได้ถึงข้อมูลเคล็ดวิชาฝึกปราณต่างๆ ทักษะยุทธ การสร้างอาคม การจารึก และการสร้างสมบัติเวท สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์พัฒนาศักยภาพตนเองไปได้ไกลมากขึ้น
ทั้งพลังปราณวิญญาณนี้ยังเป็นพลังงานสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อโลก ผู้ฝึกฝนปราณยังมีอายุยืนยาว ทรงพลังกล้าแกร่ง ดั่งเช่นตำนานเล่าขานของทวยเทพจากยุคโบราณ เหล่าผู้เหลือรอดต่างตัดสินใจฝังอดีตที่เคยผิดพลาดทิ้งไป และเริ่มต้นใหม่ด้วยทิศทางที่ต่างจากเดิม ประวัติศาสตร์แห่งยุคผู้ฝึกปราณได้เริ่มต้นขึ้น
สองหมื่นปีหลังยุคใหม่
ชายแดนแคว้น ฉู่
ท่ามกลางกองซากศพเหล่าทหาร ส่งกลิ่นโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว ขณะที่เหล่านกแร้งกำลังจิกกินซากศพกันอย่างสบายใจ มือข้างหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาจากกองซากศพจับคอนกแร้งตัวหนึ่งไว้
แครก!
มือนั้นบิดหักคอนกแร้งทิ้งแล้วโยนศพมันออกไปด้านข้าง เด็กหนุ่มคนหนึ่งเส้นผมยุ่งเหยิงเกาะไปด้วยคราบโลหิต หน้าตาคมคายแต่แฝงด้วยความเยาว์วัย ค่อยๆคลานออกมาจากกองซากศพ เขาใช้ทวนในมือพยุงตัวขึ้นมา พลางใช้มือกุมศีรษะไว้
“ ข้าอยู่ที่ไหน ” เขาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ความทรงจำของเขาทับซ้อนยุ่งเหยิงมาก
ผ่านไป สิบลมหายใจ เขาถึงเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้
“ ข้าชื่อ เหยียนฮ่าว ”
“ ข้าคือ ตัวแทนตระกูลเหยียน มาออกรบในศึกปกป้องชายแดนแคว้น ฉู่ ”
“ พวกเราแพ้..”
“ แต่ความทรงจำที่เหลือในหัวข้านี่มัน ” เขาค่อยนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ
หลังจากสู้รบจนเหนื่อยอ่อน อยู่ในดงข้าศึก ในขณะที่ท่านแม่ทัพส่งสัญญาณถอยทัพ แต่ตัวเขากลับถูกลอบโจมตีจากทหารองครักษ์ข้างตัว ดาบเล่มนั้นแทงทะลุอกข้างซ้าย ออกมาครึ่งเล่ม พลังปราณที่ถูกส่งเข้ามาทำลายหัวใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากนั้นเพียงหนึ่งลมหายใจเขาก็ค่อยๆทรุดลงไปบนพื้น แล้วก็ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆมืดลง
ในความคิดตอนนั้นมันช่างสับสน สหายอันประเสริฐที่เติบโตมาด้วยกันดั่งพี่น้องกลับหันอาวุธเข้าหาเขา
“ เพราะเหตุใด ” คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจจนสติค่อยๆหายไป
ในตอนเขาคิดว่ากำลังจะตายนั้นเอง เขาก็เห็นประตูหยกบานหนึ่งในความมืด ที่มักจะปรากฏมาในความฝันเขาบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเด็ก
“ เจ้ามาแล้วเด็กน้อย ” เสียงที่ดูแก่ชราดังเข้ามาในความคิดเหยี่ยนฮ่าว
“ ท่านคือใคร ข้าอยู่ที่ไหน นี่หรือข้าตายไปแล้ว ” คำถามต่างๆดังขึ้นในใจ ภาพสุดท้ายที่เหยี่ยนฮ่าวเห็นคือ คมดาบที่แทงทะลุอกข้างซ้ายเขาออกมา หรือที่นี่คือสวรรค์ แต่ทำไมเขาถึงพบเพียงประตูหยกบานเดียว
เงียบบ
มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ก่อนที่จะมีเสียงถอนหายใจเบาๆ
“ ข้าชื่อ ซือคงอู่ ข้าใช้เต๋าแห่งการทำนาย ล่วงรู้ถึงความลับสวรรค์ เวลาแห่งสงครามตัดสิ้นชะตากรรมมวลมนุษย์ทั้งหมดเหลือเพียงแค่สิบสามปี” เสียงชายชราดังขึ้นอีกครั้ง
!!
“ สิบสามปีรึ ท่านรู้ได้อย่างไร ” เหยี่ยนฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสับสน
“ จงดู ! ” เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนที่ภาพมากมายจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาพกองทัพอสูรมืดจำนวนมากมายมหาศาลเข้ากลืนกินดวงดาว ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ภาพอารยธรรมต่างๆที่สูญสิ้นไป ภาพดวงอาทิตย์ที่ถูกดูดกลืนจนดับสลาย เหยี่ยนฮ่าวเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยจิตใจที่สั่นเทา
ภาพกองซากศพเหล่านั้น กลับกลายเป็นบุคคลที่เขารัก บิดามารดา ครอบครัว ตระกูลของเขาเอง
ม่ายยยย! เสียงกรีดร้องแห่งความคลุ้มคลั่งของเขาดังขึ้น
ข้าไม่ยินยอมมันต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด!!
หลังจากฟื้นคืนสติกลับมาเขาก็กล่าวถามทันที
“ เหตุใดท่านจึงแสดงภาพเหล่านี้ให้ข้าเห็น ” เหยี่ยนฮ่าวถามขึ้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเขามีพลังเพียงน้อยนิดต่อให้รับรู้เรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีส่วนช่วยต่อเรื่องราว
“ ภาระนี้เป็นของเจ้า !! ” เสียงชายชรานั้นสั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตวิญญาณเหยี่ยนฮ่าว
“ เวลาไม่มีอีกแล้ว เจ้าหลงอยู่ในบ่วงกรรมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนานเกินไป ข้าจึงต้องใช้พลังส่วนสุดท้ายดึงเจ้าเข้ามาที่นี่ ” สิ้นเสียง ก็ได้มีภาพตัวตนต่างๆของเหยี่ยนฮ่าวในอดีตชาติ ที่ผ่านการเกิดใหม่ถึงแปดชาติภพ จนถึงภพปัจจุบันซึ่งเป็นภพที่เก้า ซึ่งได้สร้างความตื่นตะลึงให้เหยี่ยนฮ่าวเป็นอันมาก ความรู้สึกลึกๆในจิตวิญญาณของเขา บ่งบอกว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง นั่นคือชาติก่อนของเขาจริงๆ
เขาใช้เวลาคิดทบทวนซักพักก่อนที่จะถามขึ้น “ ข้าต้องทำอย่างไร จึงจะมีพลังที่จะปกป้องโลกของข้าได้ ”
เสียงนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จะมีภาพ แผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขายกแขนขวาขึ้น แล้วกำหมัดชกออกไปเบาๆ
ตูม! เพล้ง!
เสียงเหมือนกระจกแตกดังขึ้น ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่พังทลาย เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่ท้องฟ้า พลังทำลายล้างอันมหาศาล ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ผืนแผ่นดินสั่นไหวเกิดเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน เหมือนโลกทั้งใบสั่นสะเทือนเพราะไม่สามารถรองรับพลังของบุรุษผู้นี้ได้ ภาพเงาร่างนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเหยี่ยนฮ่าวอย่างบอกไม่ถูก มันค่อยๆจางหายก่อนที่เสียงชายชราจะดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ เจ้าเพียงต้องจำให้ได้ ว่าเจ้าคือใคร ”
หลังสิ้นเสียงของชายชรา ประตูหยกในความคิดของเยี่ยนฮ่าวก็แง้มเปิดออกมา ตัวเขาถูกดูดเข้าไปทันที เขารู้สึกเหมือนตัวเองข้ามผ่านทะเลดวงดาว ทะลุกาลเวลาจนมาถึงดาวดวงหนึ่ง
ในนั้นเขาพบตัวเองกลายเป็นเด็กทารก อยู่ในพระราชวังใหญ่โตมโหฬารมีข้ารับใช้มากมายคอยดูแลตั้งแต่เด็ก ข้ารับใช้ทุกคนในพระราชวังนั้นล้วนแต่ รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปหลายเท่า มีผมสีแดง ดวงตาสีแดง มีกลิ่นอายสังหารเหมือนผ่านการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วนไม่น่าจะใช่คนบนโลก
หลังจากที่จำความได้เขาไม่เคยพบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาก่อน เหล่าข้ารับใช้ในวังสอนให้เขาจับอาวุธตั้งเริ่มหัดเดิน เข้ารับฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่างดาบ หอก กระบี่ เกาทัณฑ์ด้วยความเข้มงวด ภาษาอันแตกต่างความรู้ต่างๆที่ไม่คุ้นเคยถูกสอนให้เขา ด้วยร่างกายที่ทรงพลังตั้งแต่เกิด พรสวรรค์ในการต่อสู้อันสูงส่ง ทำให้เขาผ่านการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว
ในโลกนี้เหมือนเด็กทุกคนที่เกิดมาจะมีขั้นพลังยุทธอยู่ในระดับรวมปราณตั้งแต่ต้น แตกต่างกับในโลกของเขาที่ต้องเริ่มฝึกฝนจากนักสู้ระดับหนึ่งไปจนถึงระดับเก้าถึงจะทะลวงไปสู้ขั้นรวมปราณได้
จนเมื่ออายุห้าขวบ ขั้นพลังของเขาก็ไต่ระดับไปถึงปราณปฐพีโดยธรรมชาติ ผ่านไปอีกห้าปีตอนเขาอายุสิบขวบเขาก็เสร็จสิ้นการฝึกฝนพื้นฐานทั้งหมด เวลานี้ซึ่งน่าจะเทียบเท่าระดับปราณนภาบนโลก ในโลกของเขานั้นปราณนภาเป็นระดับพลังของเจ้าเมืองชั้นสูงเลยทีเดียว
หลังจากผ่านการทดสอบพร้อมกับเด็กคนอื่นๆนับร้อยคน ก็ถูกนำตัวไปทิ้งไว้ในสนามรบในโบราณสถานซักแห่ง ต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรต่างมิติอันน่าสะพรึงกลัวรูปร่างใหญ่โต ตัวเขาในความฝันก็เลือกหอกเป็นอาวุธคู่กายเช่นกัน ทุกกระบวนท่าของเขารวดเร็ว แม่นยำ รุนแรงสามารถสังหารสัตว์อสูรขนาดยักษ์ได้สบาย
หลังผ่านการฆ่าฟันนับไม่ถ้วนมาห้าปี จนกระทั่งเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ในวันนี้พลังสายเลือดของเขาถูกกระตุ้นตื่นขึ้น เขาสามารถดูดซึมความแข็งแกร่งจากสัตว์อสูรที่สังหารได้ ยิ่งเขาฆ่ามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พละกำลังที่ใช้ไปก็ถูกเติมเต็มโดยไม่ต้องพักผ่อน หลังผ่านการต่อสู้ไปเนิ่นนานหอกเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คนและหอกประสานกันเป็นหนึ่ง เขาสามารถบุกทะยานสังหารเข้าไปใจกลางกองทัพอสูรนับร้อยอย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ จนกระทั่งสนามรบแห่งนี้ เหลือเพียงกองซากศพของสัตว์อสูรมากมายหลายแสนตัวทับถมกัน จากนั้นผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งมานำตัวเขากลับไปที่พระราชวังอีกครั้ง
ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กหนุ่มสาวอีกสิบสี่คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารจากการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน จากเด็กนับร้อยคนมีเพียง สิบห้าคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบในเวลาที่กำหนด
พวกเราถูกนำตัวไปยังวิหารแห่งหนึ่ง ที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนาจากกองทหารนับแสนภายในวิหาร มีแผ่นหินขนาดใหญ่สูงนับร้อยเมตรอยู่สามแผ่น ลอยอยู่ในแท่นตรงกลางวิหาร แผ่นหินสองแผ่นในนั้นพร่าเลือน เหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกแห่งกฎเกณฑ์ชั้นสูง ไม่ว่าจะเพ่งมองอย่างไรก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ซ้ำยังรู้สึกเจ็บดวงตาจนต้องหันสายตาไปทางอื่น
มีเพียงแผ่นหินด้านซ้ายสุด เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชั้นเจนโดยไม่มีหมอกสีดำปกคลุม พวกข้ารับใช้ในวังพากลุ่มพวกเราไปยังที่แผ่นหินนั้น แล้วจึงถอนตัวออกไป
บนแผ่นหินแผ่นนั้นประกอบด้วยอักขระลูกน้ำแปลกๆหมุนวนไปมา ไม่สามารถอ่านออกได้ หลังจากนั้นมีชายชราในชุดนักบวชสีแดง เดินเข้ามาพร้อมถาดสีทอง ที่มีของเหลวสีรุ้งลอยอยู่สิบห้าหยด
พิธีกรรมสืบทอดได้เริ่มขึ้น หยดของเหลวได้ลอยมาสัมผัสตรงหน้าผากของเด็กทุกคนและถูกดูดซึมเข้าไป แผ่นหินเบื้องหน้าก็เปล่งประกายออกมา ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสมองเขาทันที นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น ความมืดได้เข้ามาครอบครองสติอีกครั้ง จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยนกกินศพ
“ มันคงไม่ใช่เพียงความฝัน ข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกอย่างชัดเจน รสชาติอาหาร กลิ่นคาวโลหิต แม้กระทั่งความรู้สึกตอนต่อสู้ ”
“ เวลาสิบสามปีงั้นรึ แล้วข้าคือใครกัน ” เขาบ่นออกมาเบาๆ เพราะภาพเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา เหมือนมีพลังบางอย่างปิดกั้นจิตวิญญาณเขาเอาไว้ ให้ไม่ให้รับรู้ถึงตัวตนของเขาในความฝัน ทุกครั้งที่มีผู้เอ่ยนามของเขาภาพเหตุการณ์จะพร่าเลือนไปชั่วขณะทันที
“ ตอนนี้ข้ารู้เพียงข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าต้องการพลังเพื่อจะปกป้องคนที่ข้ารัก ” เขาตั้งปณิธานขึ้นในใจด้วยความมุ่งมั่น ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ทุกครั้งที่เขาแข็งแกร่งขึ้น ความทรงจำจะค่อยๆฟื้นคืนมา
“ เรื่องนี้พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อข้า คงต้องเก็บไว้เป็นความลับ เพียงรอวันหนึ่งที่ข้ากลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเพียงพอจึงค่อยประกาศออกไป ” เขาเชื่อว่าเวลานั้นจะมาถึงอีกไม่นาน ตอนนี้เขามองเห็นเส้นทางฝึกฝนของตนเองชัดเจนแล้ว ขอเพียงมีทรัพยากรเพียงพอ จะไม่มีทางประสบปัญหาเรื่องการข้ามผ่านขอบเขตพลัง
“ อืม แผ่นหินนั่น ”
“ เคล็ดวิชาระดับเทพ จิตอาชูร่า ” เพียงแค่คิดกระบวนวิธีการฝึกที่ประกอบด้วยจารึกโบราณก็เหมือนจะตราตรึงไปในวิญญาณเขา นี่เป็นเคล็ดฝึกจิตที่แตกต่างจาก จิตต่อสู้หรือจิตมารบนโลก มันทรงพลังกว่ามากนัก หากต้องการฝึกเคล็ดจิตอาชูร่าจะต้องดูดซับพลังวิญญาณจากปีศาจหรือวิญญาณมืดระสูง
ในโลกที่เขาอยู่ปัจจุบันการฝึกจิตต่อสู้ จะเริ่มฝึกได้ตั้งแต่ขั้นรวมปราณ เพราะต้องเปิดจุดลมปราณในร่างกาย แล้วอาศัยการดูดซึมหินวิญญาณธาตุชนิดต่างๆตามเคล็ดวิชาเพื่อเสริมการโจมตีให้รุนแรงขึ้นหลายเท่า ส่วนการฝึกจิตมารนั้นเป็นเส้นทางสายกึ่งอธรรม ที่ดูดซึมปราณชีวิตจากคนที่ถูกเราสังหารไป มากระตุ้นจิตมารให้กล้าแข็ง มันรุนแรงกว่ากว่าจิตต่อสู้หนึ่งขั้น แต่ทางสายนี้นั้นหากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ จะถูกจิตมารควบคุมจนเสียสติคลุ้มคลั่งเข้าสู่เส้นทางมารร้ายได้ง่ายมาก
“ เคล็ดวิชาฝึกฝนปราณที่ข้าเห็นผ่านความทรงจำในความฝัน คงไม่สามารถเรียนรู้ได้ เส้นลมปราณของมนุษย์ไม่สามารถรองรับความรุนแรงของวิชาปราณนั้นได้ ” เขาพูดขึ้นหลังจากที่ลองเดินลมปราณดู แต่ก็ได้รับความเจ็บปวดจนต้องหยุดทันที
“ หืม หัวใจข้า ! ” มือเขาที่สัมผัสอกด้านซ้ายสามารถรับรู้ถึงหัวใจที่มันยังคงเต้นอยู่
“ นี่คงเป็นฝีมือของชายชรา ซือคงอู่ ” เขาไม่แปลกใจมากนัก เพราะอีกฝ่ายมอบภารกิจไว้ให้ ย่อมต้องรักษาเขาให้หายดี
ในระหว่างที่เขากำลังยืนใจลอยคิดอะไรเพลินๆ เสียงกีบม้าจำนวนมากพุ่งตรงเข้ามาหา
กลุ่มทหารแคว้นจ้าว ราวๆสิบคนกำลังควบม้าพุ่งตรงมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
“ ฮ่าๆ ข้าช่างโชคดีเสียจริง ตรงนี้ยังเหลือแต้มผลงานอยู่อีก ” ทหารคนแรกที่ควบม้านำอยู่ด้านหน้าสุด กล่าวขึ้นด้วยความดีใจ
“ ยินดีด้วยพี่ใหญ่จ้าว ดูจากเครื่องแบบเจ้านี่น่าจะเป็นนายกองของทัพแคว้นฉู่ แต้มผลงานน่าจะพอให้พวกเราแลกเปลี่ยนเสบียงมาใช้ได้เป็นเดือน ” ในสนามรบถ้าจับเป็นข้าศึกที่ยศสูงกลับไปให้แผนกลงทัณฑ์รีดข้อมูลได้ จะได้รับคะแนนผลงานมากกว่าสังหารทิ้งเสียอีก
ดังนั้นทั้งสองแคว้นต่างรู้กันดี ในยามศึกสงครามทหารคนใดที่บาดเจ็บสาหัส มักเลือกที่จะจบชีวิตตนเอง เพื่อไม่ให้ถูกจับไปทรมาน เพราะต่อให้บอกข้อมูลไปก็ต้องกลายเป็นทาสกองทัพ ไว้เป็นหน่วยพลีชีพ และทำงานสกปรกต่างๆในค่าย ต้องทนรับความอัปยศจนอยู่มิสู้ตาย
“ ไอ้หนูหยุดอยู่นิ่งๆให้กับบิดาอย่าคิดหนี ไม่งั้นข้าจะตัดขาเจ้าให้สุนัขกิน ”
พี่ใหญ่จ้าวควบม้าหยุดอยู่ตรงหน้า เหยี่ยนฮ่าวประมาณสามเมตร ใบหน้าดุดันโหดร้าย กล่าวขึ้นเสียงดังข่มขวัญ พลางคิดขึ้นในใจ ไอหนุ่มนี่น่าจะอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีช่างขวัญกล้าจริงๆ ตลอดเวลายืนสงบนิ่ง แววตาไม่มีความขลาดเขลา
ทหารคนอื่นๆที่ตามมาก็ได้ ค่อยๆตีวงล้อม เหยี่ยนฮ่าวเอาไว้ แล้วรอรับคำสั่งจากหัวหน้าทุกคนเริ่ม หันกลับไปพูดคุยกันเอง
“ เด็กแบบนี้ก็ได้ตำแหน่งนายกอง พวกแคว้นฉู่มันคิดอะไรอยู่ เพราะแบบนี้ถึงแพ้ก็ไม่แปลก” ทหารคนหนึ่งหันไปคุยกับเพื่อนด้านข้าง
“ ข้าว่ามันน่าจะเป็นพวกตระกูลชั้นสูง ใช้เส้นสายเข้ากองทัพ”
“ ใช่…ข้าก็คิดงั้น ข้าเกลียดพวกคนชั้นสูงที่สุด ” ทหารนายหนึ่งจ้องมองเหยี่ยนฮ่าวด้วยความเหี้ยมโหด หน้าตาไอหนูนี่คล้ายคู่แค้นเขาถึงเจ็ดส่วน เขาจึงส่งเสียงไปทางหัวหน้ากอง
“ พี่ใหญ่จ้าว ข้าขอลงมือเอง ”
“ พี่ใหญ่ให้ข้าจัดการเองดีกว่า ถ้าให้น้องหกลงมือเดี๋ยวไอ้หนูนี่มันจะตายเอา ” ทหารอีกนายพูดขึ้นพลางปลดเชือกลงจากหลังม้า
“ พี่รอง…ข้าสัญญาจะไม่ให้มันตาย ขอหักแขนหักขามันซักข้างพอ ”
หลังจากเห็นความดื้อดึงของน้องหก พี่รองก็หันมองไปทางพี่ใหญ่ พวกเขาสนิทกันดั่งพี่น้องจึงได้รับรู้เรื่องอดีตของน้องหกดี ครอบครัวถูกทำลาย ภรรยาถูกแย่งชิงด้วยน้ำมือของพวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงแคว้นจ้าว จนต้องหนีตายมาเป็นทหารชายแดน ทำให้เขาแค้นพวกตระกูลชนชั้นสูงมาก ผ่านความรู้สึกมันกดดันทับถมมานาน จนนิสัยเริ่มเปลี่ยนเป็นเงียบขรึมและโหดร้ายมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้น้องหกได้ระบายความคับแค้นออกมา
“ เจ้ารอง ถอยมาให้เจ้าหกจัดการ ”
“ ขอบคุณพี่ใหญ่ ” ทหารร่างใหญ่ที่ถูกเรียกว่าน้องหก กระโดดลงจากหลังม้าพร้อมถือค้อนสงคราม ค่อยๆสืบเท้าเข้าไปหา เหยี่ยนฮ่าว ด้วยแววตาดุดัน
“ เจ้าหกอย่าประมาท ไอหนูนี่ไม่ง่าย ” พี่รองกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ด้วยระดับพลังที่นักสู้ระดับเก้า พร้อมประสบการณ์ต่อสู้ยี่สิบกว่าปี ทำให้พอสัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากเหยี่ยนฮ่าวได้เล็กน้อย
“ ไม่ต้องห่วงพี่รอง ไอเด็กนี่มันเป็นเพียงนักสู้ระดับเจ็ด แต่ข้าเป็นนักสู้ระดับแปดรวมกับประสบการณ์เข่นฆ่าในสนามรบมาห้าปี ข้าไม่แพ้แน่ ”
ในขณะที่พวกทหารแคว้นจ้าวพูดคุยกัน ในสมองเหยี่ยนฮ่าวกลับ คิดทบทวนถึง ประสบการณ์สู้รบในสนามรบโบราณ รวมถึงกระบวนท่าหอกต่างๆ ในสายตาของเขา ทหารที่ถือค้อนสงครามเบื้องหน้านี่เต็มไปด้วยช่องโหว่ ถ้าเป็นตัวเขาในความฝันคงสังหารทิ้งซักสิบคนยี่สิบคนในเวลาพริบตาเดียวอย่างสบาย แต่ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของร่างกายและพลังฝีมือเขาด้อยกว่าในความฝันมากนัก
หากให้จัดการเพียงทหารตรงหน้านั้นไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องจัดการทั้งหมดสิบคน โอกาสชนะแทบไม่มี แต่ถ้าคิดหนีก็ต้องจัดการไม่ให้พวกมันตามไปได้ หลังจากคิดวางแผนในใจ เขาก็พุ่งความสนในไปที่ทหารตรงหน้าทันที
ต้องชิงลงมือก่อน! เหยี่ยนฮ่าวแทงหอกไปอย่างดุดัน ตรงขาขวาของคู่ต่อสู้เพื่อล่อให้อีกฝ่ายขวางค้อนลงมาป้องกัน จากนั้นเขาตวัดปลายหอกเข้า โจมตีใบหน้าของฝั่งตรงข้ามต่อทันที
ควับ ! อีกฝ่ายเอียงหัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด
แต่ก็ทิ้งรอยแผลเส้นเล็กๆ จากปลายหอกเอาไว้ที่แก้ม แถมยังเสียจังหวะจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ซ้ำร้ายหอกเหยี่ยนฮ่าวยังแทงต่อไปโดนหัวม้าของสหายมันด้านหลังจนลงไปนอนตายอยู่กับพื้นอีก สร้างความอับอายให้มันเป็นอย่างมาก
“ ไอเด็กบัดซบ ข้าจะทุบแขนเจ้าให้แหลก ” ด้วยการโจมตีสุดแรงของนักสู้ระดับแปด ค้อนนี้เหวี่ยงออกไปด้วยแรง แปดพันจิน(1จินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม) ทำให้เหยี่ยนฮ่าวกระเด็นถอยหลังไปอย่างแรง และได้รับบาดเจ็บภายในทันที เนื่องจากความแตกต่างด้านพลังยุทธ เพราะนักสู้ระดับเจ็ดมีพละกำลังประมาณ หกพันจินเท่านั้น
“ ไงละไอสวะ กินค้อนของข้าไปซะ ”
การโจมตีอันดุดันโหมเข้าใส่เหยี่ยนฮ่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเขาใช้หอกปัดเบี่ยงหลบออกไปได้ตลอด ทั้งยังคอยทิ่มแทงหอกเข้าใส่เป็นระยะ บีบให้พื้นที่ต่อสู้ไปทางที่เขาต้องการ
ควับ ควับ ! ม้าอีกสองตัวด้านหลังโดนลูกหลงบาดเจ็บขาหักล้มลงไป ทำให้ทหารบนม้าต้องรีบกระโดดหลบออกมา สร้างความโกรธแค้นให้เหล่าทหารเป็นอันมาก
“ เจ้าหกรีบจบศึกได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงมือเอง ”
หลังจากได้ยินเสียงเตือน จากพี่ใหญ่มันก็ยิ่งโมโห เร่งมือเข้าโหมโจมตีเหยี่ยนฮ่าวอีกหลายกระบวนท่า หมายจะทุบเหยี่ยนฮ่าวให้แหลกคามือ แต่เนื่องจากคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ทำให้การโจมตีเต็มไปด้วยช่องโหว่จึงไม่เป็นผลกับเหยี่ยนฮ่าวแม้แต่น้อย
เพราะเหยี่ยนฮ่าวนั้นต่อสู้อย่างเยือกเย็น ใช้ความอ่อนหยุ่นของหอก คอยเบี่ยงการโจมตีและควบคุมพื้นที่การต่อสู้ได้ดั่งใจ เขาค่อยๆซึมซับประสบการณ์ความรู้เรื่องเทคนิคการต่อสู้ด้วยหอกที่ผ่านมาจากในความฝันมาปรับใช้อย่างช้าๆ
หลังจากที่เขาแสร้งบาดเจ็บล่อให้ ม้าอีก2ตัวโดนลูกหลงจนบาดเจ็บไป ทางหัวหน้ากลุ่มทหาร ก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
“ บัดซบ ไอหนูนี่เจ้าเล่ห์นัก “
” เจ้ารอง เจ้าสาม ลงไปจัดการซะก่อนที่ม้าเราจะตายเสียหมด ”
หลังจากเห็น หัวหน้ากลุ่มทหารคาดเดาแผนการณ์ของเขาออก เหยี่ยนฮ่าวก็ระเบิดความเร็ว เปลี่ยนจังหวะการต่อสู้ทันที จนฝ่ายตรงข้ามลนลานตั้งตัวไม่ทัน จนสามารถสยบคู่ต่อสู้ได้ภายในพริบตา ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส อาวุธหลุดมือกระเด็นไปทางทหารที่เข้ามาใหม่อีกสองคน จากนั้นเหยี่ยนฮ่าวเหวียงปลายหอกตวัดโจมตีขาม้าอีกสองตัว แล้วพุ่งตัวถีบไปยังทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนกระเด็นเข้าใส่กลุ่มทหารพยายามจะเข้ามาอย่างแรง แล้วอาศัยจังหวะนั้นชิงม้าของทหารที่บาดเจ็บหลบหนีออกไปทันที
“ จับมันไว้ !” ทหารสองคนเข้ารับตัวสหายที่บาดเจ็บไว้
“ บัดซบม้าข้า ” เกิดความแตกตื่นขึ้นทันทีเพราะตั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน เพียงชั่วเวลาไม่ถึงสองลมหายใจเท่านั้นหลังจากที่หัวหน้าทหารร้องเตือน เหยี่ยนฮ่าวก็ขึ้นม้าหนีไปแล้ว
“ เจ้ารองไปดูเจ้าหก ส่วนเจ้าสี่ตามข้ามา !” หลังจากสั่งการเสร็จ เขากับทหารอีกคนก็รีบควบม้าตามไปทันที
ที่ทิ้งคนที่เหลือไว้เพราะม้าที่ใช้ในกองทัพเป็นอสูรระดับหนึ่ง วิ่งไวกว่าคนมากนัก ถ้าให้วิ่งตามมาด้วยจะเสียเวลาเปล่าๆ ด้วยม้าที่เหลือเพียงสองตัวเขาก็ยังมั่นใจอยู่กว่าจะจับเหยี่ยนฮ่าวได้ เพราะพลังยุทธเขาข้ามเขตนักสู้ระดับเก้า มาอยู่ในขั้นรวมปราณแล้ว
ผู้ฝึกยุทธระดับรวมปราณ สามารถถ่ายทอดลมปราณให้ม้าเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอีกสองส่วน คาดว่าไม่นานก็คงตามทัน แม้จะหวั่นเกรงทักษะการใช้หอกของเหยี่ยนฮ่าวอยู่เล็กน้อย แต่ก็มั่นใจในความสามารถของตน
“ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ กลับสามารถสู้ข้ามขั้นได้มันต้องมีความลับบางอย่างแน่ ”
“ ให้ข้าจับเจ้าได้ก่อนเถอะ ไม่กลัวเจ้าจะไม่เปิดเผยออกมา ”