บทนำ
ภายในเอกภพ(จักรวาล)อันกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยดาราจักร(กาแลคซี่)มากมายนับแสนล้าน ดวงดาวที่ส่องแสงสว่างมากมายบนท้องฟ้า ถือเป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ ดาราจักรนั้นประกอบด้วยดาวฤกษ์ นับล้านถึงล้านล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเรานั้น เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์ ของดาราจักรทางช้างเผือก เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ซึ่งมีโลกและดาวดวงอื่นโคจรอยู่รอบๆ
ณ ชายขอบดาราจักรทางช้างเผือก มีดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของโลกเรานับสิบเท่า มีดาวเคราะห์นับร้อยเป็นบริวาร เวลานี้แสงสว่างที่ส่องมานานนับล้านล้านปี ค่อยๆหรี่ลงเหมือนกำลังจะมอดหายไป ท่ามกลางเศษซากดาวเคราะห์ในเขตวงโคจรชั้นนอกหลายสิบดวง ถูกทำลายจาก กองทัพอสูรสสารมืดนับไม่ถ้วน กำลังกลืนกินแกนดวงดาวอย่างหิวกระหาย ไม่รู้มีกี่อารยธรรมที่ล่มสลาย ไปในสงครามครั้งนี้
พวกมันคือผู้กลืนกินแห่งดาราจักร มีเพียงความกระหายในการฆ่า กลืนกินและทำลายล้างในความคิดเท่านั้น ในเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ไม่รู้มีอารยธรรมมากมายเพียงใดต้องสูญสิ้นไป
บริเวณเขตดาวชั้นใน ท่ามกลางสงครามที่ทวีความดุเดือด รอบดวงอาทิตย์ที่กำลังจะดับแสงลง มีก้อนสสารมืดขนาดใหญ่มหึมา ขนาดหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ มันกำลังใช้รยางค์ขนาดใหญ่ สองเส้นเจาะเข้าไปในแกนดวงอาทิตย์ เพื่อดูดกินพลังงานอย่างหิวกระหาย
เปรี้ยง !
ลำแสงสีขาวที่ถูกยิง ออกมาจากยานแม่ขนาดใหญ่ลักษณะเหมือนดาวเคราะห์ มีวงแหวนติดอาวุธลำแสงส่งการโจมตี เข้าไปที่รยางค์เส้นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะทำลายมันได้อยู่แล้ว แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวมันก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่เหมือนมันไม่ได้โดนโจมตีมาก่อน ไม่ว่าจะโดนการโจมตีมากมายเท่าไหร่ ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้เร็วเท่ากัน กองยานรบรอบๆหลายล้านลำเองก็เปิดศึกโจมตีกองทัพอสูรมืดอยู่ในอวกาศ
ห้องบัญชาการยานแม่ อารยธรรมสตาไลท์
บุรุษผู้หนึ่ง ยืนมองสถานการณ์ผ่านจอประมวลผลด้วยสีหน้าทุกข์ใจ
“ พวกเราคงเหลือเพียงหนทางเดียว ” เขากล่าวออกมาด้วยเสียงสิ้นหวัง การโจมตีทุกอย่างทำได้เพียงถ่วงเวลาดูดกลืนของมหาอสูรร้ายไปเท่านั้น
“ ท่านจอมพลเราจะเชื่อถือ ตำนานโบราณนั่นได้จริงๆรึ ” ชายชราในชุดมหาเสนาบดีกล่าวขึ้นด้วยความกังวล เขารู้ว่ามันสิ้นหวังแล้วสำหรับสถานการณ์เบื้องหน้านี้ ท่ามกลางอารยธรรมมากมายใน เขตดาวชั้นนอกและชั้นในที่พินาศไป เหลือเพียงอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงสองเท่านั้นที่ยังต่อสู้อยู่เพื่อความหวัง หากดวงอาทิตย์ถูกทำลายลง ระบบสุริยะก็จะพังพินาศทั้งหมด
“ ราชวงศ์และชนชั้นสูง ขึ้นยานอพยพไปแล้วรึ ” ท่านจอมพลกล่าวเสียงเบาหลังตัดสินใจบางอย่างได้
“ เราส่งพวกเขาออกไปจากเขตดาวชั้นในแล้วเมื่อสองชั่วโมงก่อน แต่องค์จักรพรรดิและราชินีทรงตั้งมั่นอยู่ในราชวังไม่อพยพไปด้วย”
“ พระองค์เพียงส่งองค์รัชทายาทพร้อมกับชนชั้นสูงรุ่นเยาว์ และผู้มีความรู้ความสามารถขึ้นยานไปเท่านั้น ” มหาเสนาบดีกล่าวตอบด้วยความสงบ หากมิใช่เพราะการแก่งแย่งชิงดีทำร้ายกันเองของผู้มีอำนาจในตอนที่ถูกรุกรานช่วงแรก สถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อถึงคราวพินาศคนพวกนี้มักจะเป็นพวกแรกที่เอาตัวรอดก่อนใคร จักรพรรดิทรงต้องการกำจัดเนื้อร้ายพวกนี้ จึงทรงใช้กำลังทหารกักตัวเหล่านักการเมืองนี้ไว้กับพระองค์ในห้องประชุมงานราชวังโดยไม่ให้ไหวตัวทัน
“ ติดต่อจักรพรรดินีซิลเวอร์มูน ”
อีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์
ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณมีผู้ฝึกตนนับพันบินอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางดวงดาราเหมือนเทพเซียน แสงจากเวทย์โจมตีมากมายพุ่งเข้าทำลายกองทัพอสูรเหี้ยม มีอสูรมืดนับไม่ถ้วนถูกทำลายแตกสลายไป แต่เหล่าเทพเซียนเองก็ถูกการโจมตีพลีชีพสวนกลับจนลดน้อยลงทุกที
บริเวณสนามรบหลัก ตรงรยางค์อีกเส้นหนึ่งที่ดูดพลังงานจากดวงอาทิตย์ มีกระถางสำริดหกขาขนาดใหญ่ บินหลบการโจมตีจากอสูรร้ายระดับแม่ทัพ และคอยใช้เวทย์อาคม อาวุธเวทย์ และคำสาปเข้าโจมตี มองเห็นเป็นเส้นลำแสงหลากสียิงใส่รยางค์เส้นนั้นอย่างดุเดือด
ด้านในกระถางสำริด มีเซียนเฒ่าทั้งหญิงชายประจำอยู่หกคน ตามเขตอาคมวงเวทย์ หกแฉกคอยใช้อาคมของสมบัติเทวะ ตรึงความเคลื่อนไหวของรยางค์ยักษ์เอาไว้ ทำให้มันดูดพลังงานจากดวงอาทิตย์ได้ช้าลงอย่างมาก
ด้านข้างกระถางมีเซียนสาวหน้าหมดจดงดงาม ในชุดขาว ใส่รัดเกล้าลักษณะคล้ายมงกุฎส่องแสงสีเงินอ่อนๆ ใบหูมีลักษณะเรียวแหลมเล็กน้อย กำลังควบคุมอาณาเขตค่ายกลกระบี่ ทำลายเหล่าแม่ทัพอสูรมืดนับพันตนที่พยายามฝ่าเข้ามาทำลายกระถางสำริด
อารยธรรมซิลเวอร์มูนนั้นเป็นพันธมิตรกับอารยธรรม มนุษย์มาช้านาน มีรูปร่างสวยงามทั้งหญิงและชายมีอายุไขยาวนาน ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเผ่าเอลฟ์แสงจันทร์ มีนิสัยเงียบสงบรักสันติ
ทันใดนั้น มีแสงกระพริบ จากแผ่นหยกที่ติดอยู่ข้างสายรัดเอวของนาง หลังจากสัมผัสถึงข้อความที่ถูกส่งมาก็ถอนใจออกมาเบาๆ ในที่สุดทางนั้นก็ตัดสินใจได้
“ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดลงมือเถิด ” นางกล่าวออกมาเบาๆผ่านทางหยกสื่อสาร
ณ ชายขอบเขตดาวชั้นใน บนดาวเคราะห์ขนาดเล็กดวงหนึ่ง เต็มไปด้วยข่ายอาคมพรางตัวทำให้รอดพ้นไปจากพวกอสูรมืด มีหญิงชรานางหนึ่ง นั่งเหม่อมองออกไปยังดาราจักอันกว้างใหญ่ อยู่บนแท่นพิธีที่ถูกประกอบขึ้นจากแกนต้นไม้โลกและผลึกวิญญาณดาราอันล้ำค่า รอบแท่นพิธีทั้งสี่มุมมีร่างสี่ร่างนอนสงบนิ่งอยู่ในข่ายอาคม ทั้งสี่ร่างนี้คืออดีตจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่มีขอบเขตฝึกตนอันน่าตื่นตะลึง
นับตั้งแต่ก่อตั้งอารยธรรมซิลเวอร์มูนมีผู้ปกครองที่มากความสามารถนับร้อย แต่มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่ตัดผ่านเหนือขอบเขตเซียนขึ้นไปได้ สามารถปกครองอาณาจักรได้นับล้านปีก่อนจะสิ้นอายุขัย ถึงแม้ดวงจิตจะดับไปแต่ใช้ทรัพยากรมากมายเพื่อเปลี่ยนร่างตนให้กลายเป็นสมบัติระดับเทพ เพื่อให้สามารถเก็บแก่นแท้พลังฝึกตนทั้งหมดไว้จวบจนปัจจุบัน เนื่องเพราะมหาจักรพรรดิทั้งสี่ในยามมีชีวิต ทำนายได้ถึงมหาวิบัติสิ้นยุค ที่จะมาถึงในอนาคตจริงเตรียมการเอาไว้อย่างลับๆสืบทอดกันมาในราชวงศ์ต่อมาเรื่อยๆ
หลังจากได้รับข้อความจากแผ่นหยก หญิงชรานางนั้นก็ยกมือขึ้นสองข้าง มือแต่ละข้างคว้าไปทางดาวซิลเวอร์มูนและดาวสตาไลท์ ตามลำดับ ทันใดนั้นแสงสีฟ้าจากแท่นพิธีก็พุ่งสูงขึ้น ปกคลุมดาวทั้งดวงทะลุอาคมพรางตัวแล้วพุ่งสูงขึ้นฟ้าจนกลายเป็นเสาลำแสงขนาดใหญ่ เขตอาคมโบราณที่ถูกวางเอาไว้ตรงเขตดาวชั้นใน ซึ่งผ่านวันเวลามานับไม่ถ้วน ก็เหมือนถูกปลุกตื่นขึ้น ค่อยปล่อยพลังงานกลายเป็นอักขระรูนโบราณเชื่อมโยงไปทางดาวซิลเวอร์มูนและสตาไลท์ จนเกิดเป็นเสาลำแสงทะลุขึ้นไปในอวกาศ ประกอบกันเป็นลักษณะสามเหลี่ยม ล้อมกองทัพอสูรมืดเอาไว้ตรงกลาง
พลังงานแห่งดวงดารา และพลังงานชีวิตมากมายได้ถูกสูบออกไปจากเขตดาวชั้นในอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเป็นประตูหยกบานหนึ่งที่ดูเรือนราง ตรงยอดเขตอาคมรูปสามเหลี่ยม ร่างของจักรพรรดิทั้งสี่ค่อยๆสลายกลายเป็นอนุภาคแสงเข้าไปในเขตอาคมจนหมด นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเขตดาวชั้นใน ก็สูญเสียพลังชีวิตไปครึ่งหนึ่งเพื่อใช้หล่อเลี้ยงประตูหยกบานนั้นจนคงสภาพไว้ได้ที่สุด
เวลาถูกหยุดลงเมื่อประตูหยกปรากฏ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในเขตดาวเคราะห์ชั้นในต่างก็เงยหน้ามองดูประตูหยกบานนั้นที่สูงเสียดฟ้า ทับซ้อนกับภาพดวงดาราทั้งหลายในดาราจักร เหมือนอยู่คนละมิติกัน แต่ค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ จงเปิดเถิด...ประตูจักรพรรดิหยก ข้าขอบูชาด้วยชีวิตแห่งข้า ได้โปรดช่วยเหลือดาราจักรแห่งนี้ด้วย” หญิงชรากัดลิ้นพ่นเลือดออกใส่กระบี่หยกด้านหน้า แล้วปักลงไปที่แท่นพิธี ร่างของนางค่อยๆสลายเป็นอณูแสงหายเข้าไปในกระบี่หยกอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดาว ได้มีภาพกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งปรากฎขึ้น มันพุ่งแทงไปยังช่องประตู แล้วค่อยๆเฉือนพันธนาการที่ผนึกประตูบานนั้นออกทุกระยะที่กระบี่กรีดลงมา ร่างของหญิงชราก็ค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลังจากที่ตัดพันธนาการที่ปิดกั้นมิติเรียบร้อยแล้ว ภาพกระบี่นั้นก็จางหายไป ที่แท่นพิธีเหลือเพียงกระบี่หยกที่มีรอยร้าวปักอยู่บนพื้นเท่านั้น
ตรงสนามรบฝั่งซิลเวอร์มูน จักรพรรดินีซวนเย่มองไปที่ประตูหยกอย่างครุ่นคิด พิธีกรรมโบราณนี้ตกทอดมาในตระกูลจักรพรรดิของนาง พร้อมกับคำทำนายถึงสงครามวันสิ้นยุคตัดสินชะตากรรมของทั้งเผ่าพันธุ์ทั้งหมด หากสงครามครั้งนี้ไม่สามารถชนะได้ จักถึงคราวสิ้นสูญหมดสิ้น บรรพชนของนางได้ทิ้งวิธีอัญเชิญประตูจักรพรรดิหยก เพื่อให้เทพผู้สร้างของเผ่าพันธุ์ซิลเวอร์มูนส่งผ่านการโจมตีมาทำลายล้างเหล้าอสูรร้ายให้พินาศสิ้น เงื่อนไขคือการบูชาด้วยพลังชีวิตจำนวนมหาศาลของสิ่งมีชีวิต
แต่การใช้วิธีการนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎของเอกภพ จึงต้องสูญเสียค่าตอบแทนมหาศาล วิธีนี้ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ลำพังเพียงแค่การเปิดประตูบานนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลแล้ว หากทำสำเร็จมิรู้ว่าต้องมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องดับสิ้นไปเพื่อถือเป็นเครื่องบูชา
ห้าวินาทีผ่านไป
ทุกวินาที ที่ผ่านพ้นไปเหมือนดั่งมีดที่กรีดเฉือนดวงใจนาง
“ เหตุใดไม่มีการตอบรับจากเทพผู้สร้าง ” นางกล่าวอย่างท้อแท้ขณะที่เห็นประตูบานนั้น ค่อยๆเริ่มจางหายไป
ผ่านไปอีกหนึ่งลมหายใจ
ประตูบานนั้นค่อยๆจางไปเรื่อยๆ เวลาที่ถูกหยุดไว้เหมือนจะค่อยๆกลับมาเดินอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง แววตานางเปล่งแสงขึ้นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เผาผลาญแก่นโลหิตของตนเอง เพื่อให้หลุดออกจากเวลาที่ถูกหยุดชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นชี้นิ้วไปด้านหน้า สมบัติเทวะมงกุฎซิลเวอร์มูนที่สวมอยู่ก็ทอแสงเจิดจ้าขึ้นทันที แสงสีเงินสว่างไปทั่วเขตดาวชั้นในชั่วขณะหนึ่ง ต่อจากนั้นนั้นเสียงของนางก็ดังก้องเข้าไปในจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเขตดาวชั้นใน
“ข้าคือจักรพรรดินีซวนเย่ บัดนี้เป็นเวลาตัดสินความอยู่รอดของอารยธรรมทั้งหมดของพวกเราแล้ว”
“หากประตูบานนี้หายไป ความหวังสุดท้ายของพวกเราจะสูญสลาย”
“ดาวบ้านเกิดของพวกเราจะโดน พวกอสูรมืดทำลายล้างทั้งหมด”
“ได้โปรดช่วยข้า ข้าต้องการพลังชีวิตของพวกเจ้าเพื่อหล่อเลี้ยงประตูให้คงอยู่ เพื่อยื้อเวลาครั้งสุดท้าย”
“ หลังจากนี้ข้าจะส่งจิตวิญญาณของข้าข้ามประตูไป เพื่อพบเทพผู้สูงส่งในมิติระดับสูงให้ช่วยเหลืออารยธรรมพวกเรา ”
“ข้ารู้ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าส่วนใหญ่อาจต้องเสียสละชีวิต แต่มันเป็นทางเดียวที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของพวกเราไว้” แสงสว่างจากมงกุฎซิลเวอร์มูนค่อยๆกระจายไปหาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มันเชื่อมต่อถักทอเป็นเส้นใยเล็กๆส่งไปยังมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่อาศัยในเขตดาวชั้นใน เสียงแห่งมนต์สะกดหล่อหลอมจิตใจให้คล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว เสียงนี้จะส่งไปถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ไม่แบ่งแยก ทุกชีวิตล้วนมีความดีอยู่ในตัว เหมือนดั่งตอนเกิดมาเป็นทารก ทุกคนล้วนบริสุทธิ์ ก่อนที่จะเกิดกิเลสมัวเมาจนเปลี่ยนไป
พลังของมงกุฎซิลเวอร์มูนจะสร้างอาณาเขตขึ้นมาแล้วปรับเปลี่ยนความคิดกระตุ้นให้เกิดความคล้อยตามเชื่อฟังผู้สวมใส่ ทั้งยังสามารถดึงพลังชีวิตจากผู้ที่ต้องมนต์สะกดไปใช้งานได้อีกด้วย
วูป!
เส้นใยสีขาวจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดค่อยๆถักทอกัน เป็นลำแสงขนาดใหญ่ยิงตรงไปทางประตูที่กำลังจะจางหายทำให้ประตูค่อยๆกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยดวงแสงสีเงินจมหายผ่านเข้าประตูไป…