ตอนที่ 10 ต้องคุยกัน
คะนิ้งไม่รู้ว่าตัวเองหลับตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็พบว่าฟ้าสว่างแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านตรงระเบียงเข้ามากระทบเตียงที่เธอนอนอยู่เสียแล้ว เป็นเพราะเมื่อคืนเหนื่อยจากการทำงาน แล้วกลับมาถึงห้องยังต้องเจอภาพบั่นทอนจิตใจ ทำให้ความเมื่อยล้าของเธอคูณสิบ เธอลุกขึ้นจากเตียงไปแปรงฟันอาบน้ำจัดการเปลี่ยนชุดลำลองตัวใหม่ ก่อนจะเปิดประตูห้องออกไป เพื่อทำอาหารเช้าแบบเรียบง่ายกิน
"เฮ้อ!" สภาพห้องที่เละเทะทำเอาคะนิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบาะหนังรองนั่งซึ่งเคยวางเป็นระเบียบบนโซฟาในยามนี้กลับวางระเกะระกะเกลื่อนพื้นห้อง
นั่นยังไม่รวมถึงเสื้อผ้าของติณห์ที่ถอดทิ้งไว้คนละทิศละทาง เศษซากถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วถูกโยนทิ้งไว้ตามพื้นห้อง บ้างตามมุมของโซฟาที่นั่ง อยู่อย่างไรก็ปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น น่าเบื่อหน่ายจริง ๆ
ติณห์ไม่คิดจะรับผิดชอบเก็บสิ่งสกปรกของตัวเองบ้างหรือไง หรือเพราะความเคยชินเธอเคยทำแทนเขาตลอด เลยทำให้เขาได้ใจ ครั้งนี้คงมากไปหน่อย เห็นทีเราคงต้องตกลงกันใหม่
ขืนติณห์ยังทำนิสัยแย่แบบนี้อยู่บอกเลยว่านอกจากเธอจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น เธอกล้าพอจะตัดเพื่อนกับเขาด้วย ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดเหมือนกัน...
พอดิบพอดีกับสองหนุ่มสาวที่คึกทำกิจกรรมกันทั้งคืนเดินออกห้องนอนมา โล่งอกที่คราวนี้สวมใส่ชุดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สีหน้าคร่าตาดูสดชื่นมีความสุขแบบปกปิดไม่มิด
"ไหวไหมพลอย"
"ไหวค่ะ แต่ปวดเอวนิดหน่อย เมื่อคืนพี่ติณห์เล่นแรงไปหน่อยนะคะ"
"เป็นแฟนพี่ต้องทนหน่อยนะครับ" ติณห์หัวเราะเบา ๆ ในคอ มุมปากยิ้มเอ็นดูแฟนสาว มือหนายกยีผมยาวสลวยสีน้ำตาล พลอยปภัสเอียงหัวรับสัมผัสอ่อนโยนอย่างรู้งาน
"ค่ะ พลอยรับได้อยู่แล้วถ้าเป็นพี่ติณห์"
"น่ารักที่สุด!" เขาบีบแก้มคนรักไปอีกครั้ง แขนตวัดโอบรอบเอวบางเอาไว้ตั้งท่าจะไปส่งพลอยปภัสกลับบ้าน ติณห์ไม่ลืมหันหน้ากลับไปตะโกนเสียงถามอีกคนที่กำลังยุ่งต่องานในครัว
"วันนี้มีอะไรกินบ้าง"
"ฉันว่าจะทำข้าวต้มกิน ในตู้เท่าที่ไปดูมาเหลือแค่หมู"
"ทำไมไม่รู้จักไปซื้อมาตุนไว้วะ" เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างหัวเสีย โดยไม่สนเลยว่าคะนิ้งมีงาน และเรื่องส่วนตัวที่ยุ่งเหยิง เธอดิ้นรนจนสายตัวแทบขาด แต่คนที่อาศัยร่วมห้องเดียวกันเห็นกิจวัตรประจำวันของเธอที่ไม่เคยมีเวลาหยุดพักกลับไม่เห็นใจกันสักนิดเดียว
"ฉันยุ่งอยู่ กินข้าวต้มไปก่อนไม่ได้หรือไง"
"อืม" ติณห์ครางรับในลำคอแบบส่ง ๆ ไม่อยากอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า "แกทำเผื่อฉันไว้ด้วยแล้วกัน ฉันจะไปส่งพลอยก่อน"
คะนิ้งทำเพียงพยักหน้ารับทราบ เงยขึ้นมองพลอยปภัสเล็กน้อย อีกฝ่ายจ้องเธอกลับเช่นเดียวกัน เธอเห็นรอยยิ้มเยาะหยันปรากฏบนหน้าหล่อนด้วย เธอไม่ใส่ใจหรอก แล้วหันกลับไปคนข้าวต้มในหม้อต่อ
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ติณห์ก็กลับถึงห้อง ข้าวต้มหมูสับทำเสร็จพอดี คะนิ้งจึงตักใส่ถ้วยลายกระเบื้องนำไปเสิร์ฟให้อีกฝ่ายซึ่งนั่งรออยู่โต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของข้าวหอมมะลิโชยแตะปลายจมูกเขา ถึงกับกลืนน้ำลายเอือก ต่อมอาหารทำงานขึ้นมาทันที เขาไม่รอช้าตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
คะนิ้งหย่อนตัวนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามติณห์ พร้อมกับยกถ้วยข้าวต้มของตัวเองมากินพร้อมเขา เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เรียกกำลังใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"ติณห์"
"ว่า..." ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาถามกลับเสียงเรียบนิ่ง หัวคิ้วเข้มกลับขมวดฉงนใจ
"ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย"
"ว่ามาสิ"
"ไว้ทานข้าวเสร็จก่อนแล้วกัน" เพราะกลัวว่าถ้าเธอพูดมันขึ้นมาเวลานี้ คงกินอาหารเช้าต่อไม่ลงแน่ ๆ
ติณห์ไม่สน เขาอยากรู้ตอนนี้ เวลานี้เลยจึงเร่งเร้า "มีเรื่องอะไรก็พูดมาเลย ทำไมต้องลีลาด้วย"
"มันหลายเรื่อง ฉันว่าเราทานข้าวให้อิ่มก่อนเถอะ"
"เรื่องมากจริง ๆ" ติณห์บ่นอุบพลางตักข้าวเข้าปากคำใหญ่อีกครั้ง
จนกระทั่งเขาทานข้าวอิ่ม คะนิ้งลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างเข้าที่เดิม ส่วนเขาเดินไปรอที่กลางโถงห้องเขาเปิดทีวีจอใหญ่ดูอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างรอเธอมาคุยเรื่องอะไรสักอย่าง
และแล้วก็ถึงเวลาที่ควรคุยกันให้รู้เรื่อง คะนิ้งสืบเท้าเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าอีกฝ่าย
"ฉันพร้อมคุยแล้ว"
"ว่ามา...ตกลงแล้วแกจะพูดเรื่องอะไรกับฉัน" ติณห์นั่งกอดอกจ้องนิ่ง
"ฉันว่าจะย้ายออกไปอยู่คนเดียวข้างนอก"
"ทำไม แกมีปัญหาอะไรถึงมีความคิดจะออกไปอยู่ข้างนอก" คะนิ้งไม่เคยพูดเรื่องการย้ายห้องกับเขาสักครั้ง อีกทั้งเธอย้ำต่อเขาเสมอว่าจะอยู่เกาะเขาไปแบบนี้อีกนาน เรื่องอะไรจะยอมย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแถมต้องเสียค่าครองชีพในกรุงเทพฯแพงแสนแพง คนขี้งกแบบยายนี่น่ะเหรอจะยอมขาดทุน
"หลายเรื่อง" เธอเกริ่น สบตาเขาอย่างหวั่น ๆ
"เช่นอะไรบ้าง" คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม
เธอไม่รู้ว่าติณห์ไม่รู้ หรือเขาโง่ดูไม่ออก คิดเองไม่ได้จริง ๆ
"ข้อหนึ่งนายมีแฟนอยู่แล้วการที่ฉันยังอยู่ร่วมห้องแกอาจทำให้แฟนแกไม่พอใจ และมีปีญหาตามมาทีหลัง"
"ข้อนี้ฉันจัดการปัญหาได้" มันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด เขามั่นใจว่าสามารถอธิบายให้พลอยปภัสเข้าใจได้ เพราะคนของเขาคงไม่ได้งี้เง่า เข้าใจอะไรยาก
"ข้อสองฉันไม่สะดวกใจที่จะอยู่ร่วมห้องกับนาย นายเองก็คงต้องการเวลาส่วนตัวกับแฟน เวลาพวกนายทำอะไรจะได้สะดวก และฉันก็ไม่อยากมาเห็น หรือได้ยินเสียงอะไรที่มันกระดากหู" ไม่ว่าจะเสียงครวญครางปานจะขาดใจของหญิงสาว รวมถึงเสียงกระทบกันของเนินเนื้อ... เสียงเหล่านั้นยังหลอนหูเธออยู่แล้ว
"ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิ ฉันจะเอากับแฟนเบา ๆ จะบอกพลอยเบาเสียงลงให้ก็ได้"
"มันไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ด้วยการกระทำของนายมันโคตรแย่ ฉันทนไม่ไหว"
เธอขอสารภาพตามตรง อยู่กับเขานานเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นนิสัยแท้จริงเขาเพิ่มขึ้น ทว่ากลับตัวกลับใจเลิกรักเขาตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ
ติณห์ยกยิ้มกรุ่มกริ่มเมื่อขบคิดบางสิ่งได้ จนท้ายที่สุดเขาก็พูดความคิดในใจออกมา "ทนไม่ไหวก็มาแกมด้วยกันไหมล่ะ ชายหนึ่งหญิงสองฉันก็ไหวนะ"
เดิมทีคะนิ้งต้องการคุยกับติณณ์อย่างใจเย็น มีเหตุผลไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่พออีกฝ่ายพูดจาไม่รู้ความ อีกทั้งคำตอบจากเขาโคตรระยำ คนปกติเขาคงคิดอะไรแบบนั้นหรอก
"นายกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ติณห์" ผิดหวังในตัวเขาเหลือเกิน ที่เคยชื่นชมเขาไปเมื่อก่อนนั้นบัดนี้เธอขอถอนคำพูด!
"ฉันเป็นแบบนี้ของฉันนานแล้ว เธอยังไม่รู้จักฉันดีพอเท่านั้นเอง"
"..." เธอถึงกับอึ้ง ความเงียบเข้าปกคลุม
"เอาเป็นว่าถ้าแกจะไปอยู่ที่อื่นก็ไปได้ แต่อย่าคิดว่าจะหนีฉันพ้นเชียวล่ะ!"
เขารู้ว่าเธอกำลังคิดหนี คิดจะทำอะไร เขาดูออกและไม่มีทางให้มันเป็นอย่างนั้นแน่!