ตอนที่ 1 คำสั่งของพ่อ (2)
“พวกแกไม่เหงา แต่พ่อเหงา” นายเอกภพเงียบมองหน้าลูกทั้งสอง “เรื่องเหงาไม่เหงาช่างมันเถอะ แล้วถ้าพวกแกไม่แต่งงานมีลูกสักคน ใครจะมาสืบสกุล ทรัพย์สมบัติที่มียกให้หมาให้แมวไปเลยดีไหม ก็ไม่มีอีกนั่นแหละ” บ่นแล้วก็ถอนหายใจที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
“ก็ยกให้พวกเราไงคะ” มารีญาเอ่ยขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะสุดท้ายยังไงสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อก็ต้องตกเป็นของเธอกับพี่ชายอยู่แล้ว เลยไม่ได้รีบเร่งที่จะอยากได้
“ถ้าพวกแกไม่ยอมแต่งงานมีลูกจ้างพ่อก็ไม่ยกให้”
“พ่อ...”
“ฟังนะ พ่อมีคนจะแนะนำให้พวกแกรู้จักประมาณสองสามคน และสุดท้ายพวกแกจะต้องเลือกว่าจะแต่งงานกับใคร”
“นี่พ่อจะให้พวกเราไปดูตัวเหรอคะ” มารีญาถามเสียงสูง แม้ที่ผ่านมาพ่อจะพูดเรื่องนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยที่จะบังคับกันขนาดนี้มาก่อน
“ไม่เอาน่าพ่อ ผมดูขาดแคลนขนาดนั้นเลยหรือไง” พ่อกำลังทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเอง ทั้งที่ข้างกายเขาไม่เคยขาดแคลนของแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ขาดแคลนก็เอามาทำเมียสักคนสิ ฐานะพ่อไม่เกี่ยง ขอน่ารักนิสัยดี แค่นั้นพอเลย” นายเอกภพบอกอย่างใจกว้าง
“ผมไม่ไป และไม่เลือกอะไรทั้งนั้น” ธนาบอกอย่างไม่คิดจะใส่ใจ คิดว่าแค่เขาทำเหมือนทุกครั้งพ่อก็จะรามือไปพักใหญ่แล้วค่อยมาบ่นเรื่องนี้อีก วนลูปอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย
“ก็ได้แต่...” นายเอกภพกวาดสายตามองลูกทั้งสองแล้วแสยะยิ้ม “พวกแกจะไม่ได้ทรัพย์สินเงินทองจากพ่อแม้แต่บาทเดียว ถ้าแค่พวกแกยืนยันที่จะไม่ยอมเลือกใครสักคนที่พ่อหาให้ มาแต่งงานด้วย พ่อจะทำเรื่องบริจาคทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้กับการกุศลทันที”
“พ่อ!” สองพี่น้องอุทานขึ้นพร้อมกับลุกยืน ก่อนจะเป็นธนาที่พูดต่อไปว่า “พ่ออย่ามาขู่พวกเราได้ไหม ทำเป็นคนแก่เอาแต่ใจไปได้”
“นั่นสิคะ” มารีญาเอ่ยเสริม ไม่คิดว่าพ่อจะเอาเรื่องสมบัติมาขู่ ถึงเธอจะไม่เร่งจะเอามาเป็นของตัวเอง แต่จะเอาก็ต่อเมื่อมันถึงเวลา และตอนนี้ตัวเองก็มีรายได้ ธุรกิจที่ทำอยู่ก็ไปได้ดี ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่อยากได้สมบัติเหล่านั้น พ่อจะยกของพวกนั้นให้กับคนอื่นก็ไม่คิดอะไร
มันไม่ใช่!
“ดูสิแม่ ลูกๆ ของเราโตมาดื้อขนาดไหน ว่าพ่อเอาแต่ใจ” นายเอกภพเดินไปหยิบภาพภรรยาที่ตั้งเอาไว้มาโอดครวญ “แถมยังจะไม่ยอมแต่งงานมีหลานไว้สืบสกุลอีก ตระกูลของเราจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้จริง ๆ สินะ พ่อขอโทษนะที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี ทำให้แม่ที่อยู่บนฟ้าต้องเป็นห่วง เงินทองที่หามาอย่างอยากลำบากหวังจะให้ลูกๆ หลานๆ ได้ใช้ ก็คงไม่มีหวังแล้วล่ะ พ่อตัดสินใจเอาไปให้คนที่เขาไม่มีดีกว่า”
“พ่อ...อย่าดึงดราม่าได้ไหม” ธนามองคนเป็นพ่อบีบน้ำตาแล้วได้แต่กุมขมับ นับวันจะยิ่งเล่นใหญ่ขึ้นไปเรื่อย
“ไม่ได้ดราม่า ไม่ได้ขู่ แต่พ่อจะทำจริงๆ” นายเอกภพวางกรอบภาพนั้นไปไว้ที่เดิมอย่างเบามือ ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม
และในจังหวะนั้นเองก็มีใครบางคนเดินเข้ามาในบ้าน “สวัสดีค่ะทุกคน” กุลนันท์ยกมือไหว้เจ้าของบ้านและธนา แล้วโบกมือทักทายมารีญาที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ประถม
“ยัยไนน์!” มารีญาอุทานเรียกเพื่อนที่เป็นทนายความ และเมื่อเห็นอย่างนี้ก็รู้ได้เลยว่าคราวนี้พ่อของเธอพูดจริงทำจริงไม่ใช่แค่ขู่
“มาแล้วเหรอหนูไนน์ มาๆ นั่งก่อน”
กุลนันท์เดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยวเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่กำลังตึงเครียดของคนในครอบครัวนี้
“พ่อเรียกยัยไนน์มาทำไมคะ”
“พ่อแก่ แล้วจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เลยว่าจะทำพินัยกรรมใหม่สักหน่อย”
“จริงเหรอยัยไนน์” มารีญาหันมาถามกุลนันท์เพื่อต้องการการยืนยัน
“จริงสิ”
“เอาล่ะ พินัยกรรมใหม่ที่พ่อจะเขียนขึ้นมา คนที่จะได้สมบัติทุกอย่างคือพวกแก หรือมูลนิธิต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจแล้วนะ” นายเอกภพพูดพลางลุกขึ้นยืน
“เอาจริงดิ” ธนาครางออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เห็นกุลนันท์ที่เหมือนทนายประจำครอบครัวแล้วก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
“จริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พ่อให้เวลาพวกแกสองพี่น้องตัดสินใจ พ่อกลับมาจะต้องได้คำตอบ” พูดเพียงเท่านั้นนายเอกภพก็เดินนำหน้ากุลนันท์ไปที่ห้องหนังสือทันที ปล่อยสองพี่น้องได้แต่ยืนมองตามหลัง มองหน้ากัน แล้วทิ้งตัวลงกลับไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ