บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 กลับบ้านเกิด รักษาแผล?..

สาวร่างเล็กผิวขาวในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์เก่า ๆ รองเท้าผ้าใบคู่เก่ง รูปร่างก็จัดว่าเพรียวสมส่วน ผมสีน้ำตาลอมแดงรัดด้วยหนังยางสีดำ สวมเสื้อแขนยาวทับอีกที ตามด้วยฮู้ดปิดบังใบหน้า การเดินทางสู่เมืองเหนือในช่วงหน้าหนาวไม่แปลกที่เธอจะหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมใส่  สะพายเป้ใบไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป เดินเลี้ยวซ้ายออกจากตัวตึกที่เธออาศัยอยู่ มุ่งตรงไปยังถนนใหญ่เพื่อนั่งรถไปยังสถานีขนส่งสายเหนือ การแต่งเนื้อแต่งตัวแบบนี้ของเธอทำให้กลายเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร ไม่โดดเด่นมานานแล้ว

แน่ล่ะธารใสรู้ตัวเองดีว่าเธอมีความสวย (ยอตัวเอง) แต่เธอไม่ชอบเป็นที่สะดุดตาใคร เหมือนพี่ชาย ที่หล่อเหลาราวเทพบุตรมาจุติ ไม่ชอบความวุ่นวาย ถึงจะไม่สวยบรรเจิด แต่เครื่องหน้าของเธอ ก็สวยเด่นไม่แพ้ใคร ใบหน้าเรียวใสไร้สิวฝ้า กระไฝมารบกวนสายตา คงเพราะเธอเป็นคนเหนือ ผิวเลยพลอยขาวไปด้วย บวกกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ไม่ต้องใส่คอนแทคเลนส์บิ๊กอายก็สวยสะดุดตาแล้ว ขนตาของเธอยาวงอนหนาเป็นแพ  จมูกเรียวเล็กรับกับริมฝีปากรูปกระจับไม่ได้ตัดแต่งแต่อย่างใด แม่ให้มาว่างั้นเถอะ        

  ธารใสไม่เคยแต่งหน้า ทำผม ภาพคุ้นตาทุกคนที่เห็นคือผู้หญิงตัวเล็กหน้ามันอยู่เสมอ รัดผมทรงหางม้าเกือบตลอดงาน หรือไม่ก็มัดรวมไว้เป็นกระจุกกลางกระหม่อมง่าย ๆ ซึ่งหญิงสาวไม่เคยรับรู้เลยว่า การทำแบบนั้นยิ่งเน้นให้เห็นลำคอเล็กระหง อวดหัวทุยพร้อมลูกผมระรุ่ยร่ายยามที่เจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจกับมัน ทำให้ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ บางครั้งก็สวมหมวกแก๊ปปิดทับเมื่อจำเป็นต้องออกไปส่งงานเอง           

“อ้าว! นั่นธารจะไปไหนแต่เช้าน่ะ” ใครวะ อุตส่าห์ปกปิดตัวตนขนาดนี้แล้วยังมีคนจำได้อีกแน่ะ คนสวยแอบเซ็ง        "เฮ๊ย!ก้อง..พอดีเลยไปส่งเราที่ขนส่งที..ไปเลยออกรถเดี๋ยวนี้เลยเร็ว!” และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายที่ได้คุยกับก้องหล้า เพราะพอเขามาส่งถึงที่หมายเธอก็โบกมือบ๊ายบายเพื่อน แล้ววิ่งเข้าไปซื้อตั๋วทันที โดยไม่สนใจว่าก้องหล้าจะวิ่งตามมา หรือขับรถชอปเปอร์คันงามกลับไป            คิดขึ้นมาก็ให้ตลกชีวิตตัวเองนัก ใครจะไปรู้ว่าวัยเบญจเพสของเธอมันแย่ถึงขนาดนี้ เพราะไอ้โจรหน้าหนวด แต่ตัวหอมนั่นเลยทีเดียว ที่ทำให้ชีวิตเธอต้องหลบหนี จากเพื่อน ๆ ราวกับไปฆาตกรรมใครมาอย่างนั้น

ธารใสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคนเดียว พลันมือซุกซนของเธอก็เกายุกยิกตรงซอกคอไปเรื่อย จากที่ถูเบา ๆ กลับรุนแรงขึ้นจนมันแดงเถือกขึ้นมาทันตา ไอ้รอยบ้านี่ก็เหมือนกัน แมลงที่ไหนกัดแล้วไม่คัน มันแค่เจ็บจี๊ดเดียวเอง แต่รอยนี่ติดทนนานเสียจริง เพราะคำพูดหนึ่งที่พี่พุดอุทานออกมา นั่นทีเดียวเชียว “นี่มันรอยคิสมาร์กชัด! ๆ” เธอไม่ใช่เด็กประถมนะที่แปลความหมายของคำนี้ไม่ออก เดือดร้อนจนต้องหาซื้อยามาทา เอาพลาสเตอร์ยามาปิดทับกลัวทางบ้านเห็นแล้วตกใจ โวยวายกันไปใหญ่อีก

แล้วไหนจะประโยคที่เสียงเซ็กซี่ในผับที่กระซิบที่ริมหูเธอมันก็ยังติดอยู่ไม่ลืมเลือน ลบยังไงก็ไม่ออก “Happy Birthday for you and.. for me.. honey” อี๋..สุนสันต์วันเกิดบ้าบออะไรล่ะ ของฉันคนเดียวต่างหาก อ๊าย..อยากจะบ้าตาย  ธารใสขยี้ผมนุ่มสลวยด้วยความหงุดหงิดสุดขีด จนหัวฟูฟ่อง เธอเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่จิตว่างไม่มีอะไรทำ จนบางครั้งแม่มาเจอยังตกใจ แถมยังบอกให้เธอไปหาซื้อยามาฆ่าเหาซะ ถ้ามันเยอะขนาดนั้น เป็นสาวเป็นนางเป็นเหามันน่าเกลียด อายเด็กเขา..เอากะเขาสิแม่ฉัน

บรรยากาศหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาวของทางภาคเหนือ มันช่างเย็นเยียบเข้าไปถึงหัวใจ แต่ถึงอย่างไรอากาศที่นี่ก็สดชื่นที่สุดแล้วในเวลานี้  ละอองหมอกโรยตัวปกคลุมถนนหน้าบ้านในช่วงใกล้ค่ำเข้าไปแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เธอเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดที่เชียงราย เธอพยายามใช้เวลาในแต่ละวัน ให้หมดไปกับการหยิบจับ ทำโน่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็หยิบฉวยเอากระดาน และอุปกรณ์วาดภาพอันเก่าที่พ่อ หรือไม่ก็พี่ชายของเธอทิ้งไว้ ในห้องเก็บของ พอขีด ๆ เขียน ๆ ไปได้แค่ไม่นาน รูปที่ออกมาช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย

เธอไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่มืออาชีพแบบพ่อ และพี่ชาย ตระกูลของเธอนับว่าถูกถ่ายทอดมาจากพันธุกรรมโดยแท้ สมัยรุ่นคุณทวด คุณปู่ไล่มาจนรุ่นพ่อ ลงมาถึงรุ่นของพวกเธอ ไม่สิ..พี่ชายเธอต่างหาก พ่อเป็นอาจารย์สอนสาขาวิชาศิลปศาสตร์เกือบทุกแขนงที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองเชียงใหม่ หากตอนนี้บิดาได้เกษียณออกมาเปิดร้านขายงานเขียน และภาพวาดนิดหน่อย ๆ พร้อมกับงานปั้นหม้อดินเผาในตัวเมืองเชียงรายโน่น   ส่วนพี่ชายเธอก็ได้กรรมพันธุ์นั้นมาเต็ม ๆ พี่ชายสุดหล่อของเธอเก่ง สุด ๆ และเท่ห์สุด ๆ ด้วย เขากลายเป็นนักจิตรกร มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าพ่อเสียอีก  แถมยังได้ทุนไปเรียนต่อยังต่างแดน เมื่อเรียนจบเพียงแค่ปีเดียว เขาเคยถูกทาบทามให้เป็นไปเป็นอาจารย์ที่เมืองนอกเมืองนาด้วยซ้ำ หากพี่ชายของเธอกลับปฏิเสธไป เพราะหัวใจของเขาอยู่ที่เมืองไทยเสียแล้วน่ะสิ พี่ชายสุดหล่อของเธอแต่งงานกับเพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน หลังจากเรียนจบมาห้าปี และทั้งคู่ยังเป็นครูสอนวิชาศิลปศาสตร์ที่มหาลัยเชียงใหม่กระทั่งปัจจุบัน  จนมีพยานรักด้วยกันไปแล้วสองคน ซึ่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พี่ชายกับพี่สะไภ้ถึงจะกลับมาบ้านเสียครั้งหนึ่ง

          ส่วนเธอน่ะหรือ เฮอะ! ไม่อยากจะพูดทุกวันนี้เธอยังกระแนะกระแหนพ่อ กับแม่อยู่เลยว่าเล่นขนเอาน้ำเชื้อชั้นดีนั่นไปให้พี่ชายเสียหมด พอตกมาถึงเธอ เลยได้แค่นิดหน่อย ๆ แค่พอวาดภาพเหมือน ภาพการ์ตูนล้อเลียนก็เท่านั้น เชอะ! ใครบอกว่าลูกไม้ ยังไงก็หล่นไม่ไกลต้น สงสัยเธอนี่โดนลมพัดแรงไปหน่อยตอนไม้จะร่วงลงสู่พื้น เลยปลิวตกไปเสียไกลลิบ          

เบื่อจากนั่งขีด ๆ เขียน ๆ งานง่าย ๆ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่เท่าไหร่เพราะความไม่มีสมาธิ ความหงุดหงิดงุ่นง่านในใจ จากเรื่องเมื่อวันก่อนที่กรุงเทพฯ ก็เข้ามารบกวนจิตใจของเธออีกจนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นไปคว้าไม้กวาด มาปัด และถูเรือนศาลาไทย หรือแม้กระทั่งกระโดดลงสระหลังบ้านลงไปเก็บดอกบัวที่บานสะพรั่งมาถวายพระ เธอรบเร้าให้แม่พาไปทำบุญกรวดน้ำในหลาย  ๆ วัด อ้างว่าเธอควรทำบุญเยอะเข้าไว้ เพราะเข้าวัยเบญจเพสแล้ว เล่นเอาพ่อกับแม่งงไปตาม ๆ กัน          

สุดท้ายไม่มีอะไรให้ทำเธอก็กลับมานั่งแหมะตรงม้านั่งติดกับลูกกรงไม้สักตรงศาลาเรือนไทยมุมโปรดของเธอ มือเท้าคางเหลือบมองลงไปในสระบัว ที่แทบจะไม่เหลือดอกที่บาน หรือดอกตูมที่พอจะเอามาบูชาพระได้ ก็เพราะเธอเล่นเด็ดมันจนเหี้ยนเตียน จะเหลือก็แต่ดอกที่ยังไม่พ้นโคลนตมเท่านั้น!  แม่มาเห็นตอนแรกยังโกรธจนลมออกหู บ่นตลอดวันเลยว่า ที่แม่ปลูกไว้ให้ดูสวยงามไม่ใช่ให้มาทำลาย พาลออกปากไล่ให้เธอกลับกรุงเทพฯไปเสีย มาถึงก็ทำลายข้าวของเสียขนาดนี้ ร้อนถึงพ่อผู้น่ารักต้องปรามแม่ไว้ ถึงได้หยุดบ่น  ที่แม่ก่นด่าให้ไม่ได้เข้าสมองเธอเลยสักนิด รู้ว่าผิดก็ต้องรับผิด แม้กระทั่งแม่ออกปากไล่กลับเมืองกรุงเธอยังไม่นึกโกรธ ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ ป่านนี้เก็บกระเป๋าวิ่งแจ้นขึ้นเครื่องไปแล้ว สุดท้ายคนที่ง้อก็ต้องเป็นพ่อกับแม่อยู่ดี แต่หนนี้ต่อให้ลากแขนลากขา ออกค่าตั๋วให้ฟรี ๆ เธอก็ไม่ไปเด็ดขาด! เธอยังไม่อยากกลับไปเผชิญกับโลกที่แสนวุ่นวายที่เมืองกรุงเลยให้ตายสิ          

คิดมาถึงตรงนี้ สมองเจ้ากรรมก็ให้หวนไปถึงเรื่องที่ผับนั่นจนได้  มือบางเผลอยกขึ้นมาลูบแก้มใส เลยลงมาที่ริมฝีปากบาง ละเรื่อยลงมาบริเวณต้นคอด้านขวา พลางถูเบา ๆ ที่ผิวสากระคาย คล้ายตกสะเก็ดของรอยนั่น อ๊าย! บ้า จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ว่าแน่ชัดว่าตัวอะไรกัด จำได้ว่า พอก้องหล้า พี่พุด พี่จ๊อด มาส่งเธอถึงคอนโดที่เธอพักอาศัยอยู่คนเดียวไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก พี่พุดที่ถือว่าเพศใกล้เคียงกับเธอมากที่สุด โยนร่างอ่อนปวกเปียกของเธอลงบนเตียง ก่อนจะปลดเสื้อเชิ้ตที่เหม็นคละคลุ้ง ทั้งกลิ่นบุหรี่(ของคนอื่น) กลิ่นเหงื่อ (น่าจะของตัวเองและคนอื่น) กลิ่นแอลกอฮอล์ (นี่ก็น่าจะของเธอและของคนอื่นด้วย) และไอ้กลิ่นละมุดที่เธอสำรอกออกมาเปรอะเปื้อน ตัวเสื้อด้านหน้า(อันนี้ของเธอคนเดียว ล้วน ๆ ยอมรับ!)          

รู้อยู่หรอกนะว่าพี่พุดแกรักลูกน้องเหมือนน้องแท้ ๆ แต่เธอเป็นผู้หญิงนะ! จำได้ไหมคะคุณพี่ แต่ ณ เวลานั้น ความมึนเมาและความเป็นห่วงของคนที่มีวุฒิภาวะสูงที่สุดในกลุ่ม กลับมีมากกว่า จำได้ว่า พี่พุดสั่งให้พี่จ้อด ไปเอาผ้าไปชุบน้ำมา ส่วนก้องหล้ายังยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก จนโดนไล่ให้ออกไปรอหน้าห้อง พร้อมกับพี่จ้อดเมื่อได้ผ้าชุบน้ำส่งให้พี่ใหญ่ เรียบร้อยแล้ว พี่พุดก็จัดการลอกคราบ เอ๊ย! ถอดแค่เสื้อเชิ๊ต พอดีตัวออกไป โชคดีที่เธอใส่เสื้อกล้ามไว้อีกชั้น จึงไม่ได้ดูน่าเกลียดจนเกินไป  วันนั้นเธอไร้เรี่ยวแรงจริงจนไม่รู้จะขัดขืนพี่แกยังไงเมื่อผ้าเย็น ถูกโปะลงมาตามหน้า หัว หู สะเปะ สะปะไปหมด เพราะเธอเล่นดิ้นอย่างกับปลากระดี่โดนน้ำร้อนลวก พี่พุดเช็ดตัวให้เธอไปก็บ่นไป หูเธอได้ยินเกือบทุกคำพูด คำก่นด่าและสบถอย่างหัวเสียไปเรื่อย โดยเฉพาะคำ ๆ นั้น มันชัดอยู่ในกมลสันดานประหนึ่งคำพูดนั้นได้ฝังเข้าไปในซีรีบรัม(สมองขนาดใหญ่สุด) และซิรีเบลลัม(สมองน้อย)ของเธอไปเลยทีเดียว          

“เฮ๊ย! ไอ้ธาร ทำไมแก้มทั้งสองข้างของแกถึงแดงเถือกอย่างกับไปครูดกับถนนคอนกรีตมาฮะ! แล้วไหนจะปากแกอีกทำไมมันบวมเจ่ออย่างนี้ล่ะ ว๊าย! แย่แล้ว!   นี่มันรอยอะไรที่ซอกคอแก ! แล่ว ๆ ๆ นี่มันรอยคิสมาร์กชัด ๆ!”  เสียงเอ็ดตะโรราวกับเจ๊กตื่นไฟ ของพี่พุด ปลุกให้เธอลุกพรวดพราดจากที่นอนทันที พร้อม ๆ กับสองหนุ่มที่โดนไล่ออกไปรอนอกห้องก่อนหน้านั้น ถลันเข้ามาในห้องของเธอแบบไม่ได้ตั้งตัวเช่นกัน สายตาทุกคู่จดจ้องมายังตัวเธอเป็นตาเดียว และจุดเดียวที่มองนั่นมันก็คือ ไอ้จุด.. จุดแดงคล้ายรอยถูกแมลงมีพิษต่อย จำได้ว่า ณ ตอนนั้นความเพลียจากการตรากตรำบนท้องถนนทั้งวัน ทั้งไอควัน ไอแดด ทั้งแอลกอฮอล์ ทั้งอ้วก แล้วไหนจะเรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนที่เธอพบเจอเพียงลำพังคนเดียวด้านนอกผับนั่น ก็ทำเอาเธอหมดเรี่ยวแรงไปแล้ว แต่สติที่ยังเหลืออยู่แค่น้อยนิดนั่น กลับทำได้ดีก่อนมันจะดับวูบไป          

“อย่าห่วงเลยน่า ธารแค่แพ้ยุงน่ะ” จากนั้น สติก็ได้หลุดลอยไป ไม่รับรู้อะไรอีกเลย จนกระทั่งมารู้สึกตัวตื่นอีกที ช่วงบ่ายของอีกวัน โชคดีเป็นวันหยุดยาวไม่ต้องรีบไปทำงาน  สายตาของเธอเริ่มปรับสภาพให้ชินกับห้องตัวเอง อาการปวดหัวตุบ ๆ ในตอนแรก ค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อตื่นเต็มที่ ธารใสพยายามสูดลมหายใจ เพื่อเรียกอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอด เพื่อให้มันนำมาฟอกไปเลี้ยงสมองของเธอ ก่อนจะย่องข้ามผ่านร่างยาวยักษ์ของพี่พุด และร่างผอมแห้งของพี่จ๊อด ส่วนก้องหล้านั่นเธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน อาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้ ก่อนกระโจนวิ่งเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกาย  คิดเอาไว้ว่าจะต้องชิ่งหนีไปก่อนที่สองคนนั้นจะตื่น       ไม่อย่างนั้นต้องโดนซักฟอกจนขาวแน่ เธอขี้เกียจตอบคำถามใครในตอนนั้นนี่นา          

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel