ภารกิจของสองเรา
เช้าตรู่ของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ ทอดยาวไปทั่วท้องฟ้า ความเงียบสงบของยามเช้าในจวนเจ้าเมืองหลิ่งหลัวถูกทำลายด้วยเสียงเรียกของเสี่ยวจูที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของบิดา นางเตรียมใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ ที่จะบอกเรื่องราวสำคัญนี้
“ท่านพ่อ! ข้าพาท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงของนางดังขึ้นด้วยความเร่งรีบ เจ้าเมืองเสี่ยวเหยา หัวหน้าครอบครัวที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ รีบเดินออกมาจากห้อง เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรสาว ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความกังวลใจในการรักษาอาการป่วยของลูกชาย
เหวินจิ้งเดินเข้ามาในจวนอย่างเงียบๆ สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ จวนซึ่งงดงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของความกังวลและความโศกเศร้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในจวนใหญ่โตเช่นนี้ แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าหญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตและรอยยิ้มอ่อนโยนที่เขาได้พบในสวนบุปผาคือบุตรีของเจ้าเมืองแห่งนี้
เจ้าเมืองหลิ่งหลัวยืนต้อนรับเหวินจิ้งด้วยความยินดี แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงของหมอพเนจรคนนี้มานานแล้ว แต่เมื่อได้เห็นชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที่มีอากัปกิริยาสุขุมและนอบน้อม เขารู้สึกมั่นใจว่าชายคนนี้อาจจะเป็นความหวังสุดท้ายที่ช่วยบุตรชายของเขาได้
“ขอบคุณท่านมาก ที่ยอมมารักษาลูกชายของข้า” เจ้าเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพที่แฝงไปด้วยความกังวลและความหวัง
“ข้าเต็มใจช่วยทุกคนขอรับ” เหวินจิ้งตอบด้วยความอ่อนโยน
“เช่นนั้นเชิญหมอไปที่ห้องนอนของลูกชายข้าเถอะ” เจ้าเมืองชี้ไปยังห้องนอนที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในจวน
เสี่ยวจูรีบเดินนำทางไปยังห้องนอนของน้องชาย นางรู้สึกปลาบปลื้มในใจที่เหวินจิ้งยอมมาช่วยเหลือครอบครัวของนาง เสี่ยวหลง น้องชายของนาง เป็นเด็กชายที่อ่อนโยนและรักสนุก เขาเป็นเหมือนแสงสว่างในบ้าน แต่เมื่อเขาล้มป่วย ความสุขในครอบครัวก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
ภายในห้องนอนของเสี่ยวหลง เสียงหายใจหอบของเด็กชายทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งตึงเครียด ทุกคนในครอบครัวยืนมองด้วยความหวัง เหวินจิ้งเดินเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กชายอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความรู้สึกเคร่งเครียดเมื่อสัมผัสได้ถึงชีพจรอันแปลกประหลาดของเด็กชาย
หลังจากการตรวจอาการอย่างละเอียด เหวินจิ้งหันกลับไปพูดกับเจ้าเมืองและเสี่ยวจู ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลแต่ก็ยังคงความสงบนิ่ง
“อาการของบุตรชายท่านสาหัสมาก เขาป่วยเป็นโรค 'ปราณพิษ' ซึ่งเป็นโรคที่หายากและยากที่จะรักษา แต่ข้าพอจะมีวิธีรักษาอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องใช้สมุนไพรหายากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ที่เดียวเท่านั้น นั่นคือสวนบุปผาที่อยู่ท้ายป่า” เหวินจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“สวนบุปผางั้นรึ?” เจ้าเมืองหลิ่งหลัวขมวดคิ้วด้วยความกังวล “แต่ที่นั่น... ข้าเคยได้ยินว่ามีสิ่งลี้ลับและอันตรายอยู่”
เหวินจิ้งรู้ดีว่าท่านเจ้าเมืองกำลังคิดอะไร เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความมั่นใจ “ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลเรื่องอันตราย แต่ข้าจะไปนำสมุนไพรนั้นมาเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เจ้าเมืองเสี่ยวเหยารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แม้จะยังมีความกลัวเรื่องอันตรายจากสวนบุปผา แต่เขาก็รู้ดีว่าเหวินจิ้งเป็นหมอที่มีความสามารถและน่าจะสามารถเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ได้
เขาจึงรีบให้คนเตรียมห้องพักสำหรับหมอหนุ่มรูปงามเพื่อให้เหวินจิ้งได้พักผ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปยังสวนบุปผา
ในขณะที่เหวินจิ้งกำลังพักผ่อน เสี่ยวจูรู้สึกกระวนกระวาย นางเดินวนไปวนมาอยู่นอกห้องพักของเขา ในใจของนางเต็มไปด้วยคำถามและความกังวล นางอยากจะพูดคุยกับเขา อยากถามเขาหลายอย่าง แต่ทุกครั้งที่นางสบตาเขา นางกลับรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก ท้ายที่สุด นางจึงกลับเข้าห้องนอนของตนเองโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดกับเขาเลย
รุ่งเช้าของวันใหม่ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างสาดแสงลงบนพื้นหินของจวน เสี่ยวจูตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวก่อนที่เหวินจิ้งจะออกเดินทาง นางเดินไปที่หน้าประตูห้องพักของเขา ด้วยความตื่นเต้นและความหวังที่ซ่อนอยู่ในใจ
เมื่อเหวินจิ้งเปิดประตูห้องออกมา เสี่ยวจูตัดสินใจรวบรวมความกล้าและพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านหมอเหวินจิ้ง ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่?”
เหวินจิ้งมองนางด้วยความแปลกใจ ดวงตาสีอำพันของนางเปล่งประกายด้วยความหวังและความกล้าหาญ เขารู้ดีว่าการเดินทางไปยังสวนบุปผานั้นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางผ่านป่าลึก แต่ยังมีอำนาจบางอย่างในสวนที่ทำให้ผู้คนไม่กล้ากล้ำกราย
“แม่นาง เจ้าจะไปทำไมกัน ที่นั่นมันอันตรายมากนัก” เขาถามพร้อมกับจ้องมองดวงตาของนางด้วยความสงสัย
เสี่ยวจูยืนตัวตรง นางพยายามซ่อนความตื่นเต้นที่แล่นเข้ามาในใจ “ข้า... ข้าชอบดอกไม้มากเจ้าค่ะ และข้าก็อยากเห็นสวนบุปผาด้วยตาตัวเองสักครั้ง” นางตอบอย่างซื่อตรง ใจของนางเต้นระส่ำด้วยความหวังว่านางจะได้ไปกับเหวินจิ้ง
เหวินจิ้งมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขานึกถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อนที่มีคนเคยพูดแบบนี้กับเขา ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาอย่างท่วมท้น
“ก็ได้” เหวินจิ้งตอบตกลงหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่แม่นางต้องสัญญาว่าจะไม่ซนและจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง”
เสี่ยวจูพยักหน้ารับคำด้วยความยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความหวังและความสุข “ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวจูได้นะเจ้าคะ” นางเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างน่ารัก
ระหว่างทางที่ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงามและอากาศบริสุทธิ์ เสี่ยวจูรู้สึกเหมือนว่าทุกก้าวที่นางเดินเคียงข้างเหวินจิ้งทำให้นางได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น นางตั้งใจฟังทุกคำที่เขาพูด
ชายหนุ่มพานางเดินผ่านต้นไม้และสมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค เขาอธิบายถึงการใช้สมุนไพรเหล่านั้นอย่างละเอียด ทำให้เสี่ยวจูได้เรียนรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรมากกว่าที่นางเคยรู้มาก่อน
“ท่านหมอเหวินจิ้ง ท่านชอบดอกไม้อะไรมากที่สุดหรือเจ้าคะ?” เสี่ยวจูถามด้วยความสนใจ นางมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
เหวินจิ้งหยุดเดินทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น เขายิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ “ข้าชอบดอกมู่หลาน เพราะมันทั้งอ่อนโยนและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังทนทานต่อความหนาวเย็นได้ดี”
เสี่ยวจูหัวเราะเบาๆ นางรู้สึกประทับใจในคำตอบของเขา “ข้าก็ชอบดอกมู่หลานเช่นกัน ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้านั้นชอบฝันถึงสวนที่มีดอกมู่หลานอยู่บ่อยๆ”
เหวินจิ้งมองนางด้วยความอ่อนโยน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดถึงอดีต “เสี่ยวจู เจ้าเหมือนคนหนึ่งที่ข้าเคยรู้จักเลย...”
เสี่ยวจูหน้าแดงด้วยความเขินอาย นางพึมพำเบา ๆ “ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับท่านหมอเช่นกัน”