บท
ตั้งค่า

อีกมุมของคนฟอร์มจัด (100%)

เขายื่นเสื้อให้เธออีกครั้ง ครั้นเห็นเธอยังมองอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าคนที่ชอบแกล้งตั้งแต่เจอกันในครั้งแรกจะเกิดใจดีขึ้นมาหลายครั้งหลายคราในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็จัดการเอาเสื้อของตัวเองไปคลุมร่างบางให้เสียเอง การกระทำที่ดูกระด้างกระเดื่องแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างน่าพิลึกทำเอาลมหายใจของสาวแว่นถึงกับสะดุดกึก หัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ส่วนใบหน้านวลปลั่งนั้นก็เห่อร้อนด้วยความสะเทิ้นอายแกมประหม่า ซึ่งท่าทางดูเอาใจใส่สาวเจ้านั้นก็ทำให้สารถีที่แอบมองกระจกมองหลังถึงกับกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่

จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างนั่งเงียบๆ ไม่นานพงษ์สวัสดิ์ก็เลิกคิ้วหนาที่พาดอยู่เหนือดวงตาร้ายๆ เมื่อได้ยินเสียงกรนน้อยๆ ครั้นหันไปมองคนที่กำลังนั่งสัปหงกก็ถึงกับหลุดยิ้มออกมา พอเธอจะเอนศีรษะไปฟาดเข้ากับกระจกรถเขาก็ทำตาโต รีบวาดมือไปคว้าข้างขมับอิ่ม แล้วเป่าลมออกจากปากเบาๆ จากนั้นก็จับให้เธอนั่งตัวตรง ประคองร่างบางของคนไม่ได้สติเอาไว้ด้วยท่าทางระมัดระวัง ครั้นเธอโงนเงนทำท่าจะเอนศีรษะไปฟาดกับกระจกรถอีกคราเขาก็ชักจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องคว้าลำคอระหงให้เธอเอนมาหา แล้วกดศีรษะน้อยมาซบตรงไหล่กว้าง

“ภพขับรถวนไปก่อน” เขาเอ่ยสั่งเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลติดจะแผ่วเบา ขณะมองคนที่หลับซบไหล่ตัวเองแบบไม่รู้เรื่องด้วยสายตาอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว

“แต่จะถึงคอนโดเธอแล้วนะครับ อีกอย่างนายก็รอนายน้อยอยู่นะครับ” คนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งสารถีและบอดี้การ์ดประจำตัวตั้งแต่พงษ์สวัสดิ์เข้าเรียนชั้นมัธยมเอ่ยแย้งเล็กน้อย

“ทำตามที่บอก” เขาสั่งเสียงทรงอำนาจจนอีกฝ่ายต้องน้อมรับแบบไร้ข้อโต้แย้ง

จากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เบนสายตากลับมามองหน้าใสๆ ของคนที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่กับไหล่ของตัวเอง ก่อนจะจับปอยผมทัดใบหูให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

“ยัยแว่นขี้แยเอ๊ย”

เขาเอ่ยเบาๆ ขณะค่อยๆ ดึงแว่นอันใหญ่ออกจากสันจมูกรั้น แล้วยื่นปลายนิ้วโป้งไปเช็ดคราบน้ำตาออกจากร่องแก้มอิ่ม จากนั้นก็เช็ดเลนส์แว่นขมุกขมัว ก่อนจะจัดการใส่แว่นกลับคืนให้อย่างเบามือ ตบท้ายด้วยการจับชายเสื้อแจ็กเกตของตัวเองที่นำไปคลุมให้อีกฝ่ายทว่าตอนนี้กลับเกือบหลุดขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ท่าทางเอาใจใส่อย่างเนียนๆ ของคนหน้านิ่งทำให้บอดี้การ์ดร่างยักษ์ทั้งสองต่างพากันแปลกใจ

“ผู้หญิงบ้าอะไร ไม่รู้จักดูแลตัวเอง” เสียงบ่นพึมพำพร้อมหน้ายุ่งๆ ทำให้สองหนุ่มที่นั่งคู่กันอยู่ด้านหน้าถึงกับหูผึ่ง เอียงข้างมามองหน้าอีกฝ่าย แล้วส่งยิ้มให้แก่กัน

“ภพจอดรถตรงร้านขายยาข้างหน้า แล้วชัยไปซื้อยาแก้ฟกช้ำมา” เขาออกคำสั่งขณะที่สายตาคมกริบยังคงสำรวจรอยฟกช้ำตรงบริเวณหัวเข่าซึ่งโผล่พ้นชายกระโปรงที่ร่นขึ้นไปด้านบนไม่ลดละ

ไม่นานรถยนต์คันหรูก็วิ่งมาจอดริมฟุตปาธพร้อมตีไฟซ้ายเป็นสัญญาณบอกเพื่อนร่วมถนน ก่อนที่ชัยจะก้าวขาลงจากรถ แล้วเดินเร็วๆ ไปยังร้านขายยา ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็กลับมาพร้อมถุงยา ขึ้นมานั่งประจำที่ข้างคนขับ เอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อยื่นยาให้เจ้านาย แล้วคนขับก็พารถเคลื่อนออกไป

อ่านสรรพคุณและวิธีใช้ข้างกล่องโดยละเอียด พงษ์สวัสดิ์ก็แกะกล่อง นำหลอดยาออกมา แล้วจัดการบีบยานวดแก้ฟกช้ำที่มีเนื้อค่อนข้างหนืดออกมาป้ายไส่มือตัวเอง ก่อนจะนำไปทาตรงบริเวณรอยฟกช้ำที่มีสีม่วงอมแดง จากนั้นก็นวดเบาๆ ครั้นได้ยินเสียงประท้วงอู้อี้น้อยๆ ในลำคอระหงเขาก็พยายามลดการกระทำให้นุ่มนวลลงไปอีกเป็นเท่าตัว คนไม่เคยต้องมาดูแลใครแบบนี้ถึงกับเป่าลมออกจากปากเมื่อทายาให้เธอเสร็จ นำยายัดใส่ถุงอย่างลวกๆ แล้ววางมันลงตรงเบาะรถข้างกาย ก่อนจะนั่งมองหน้าคิริมานิ่งๆ โดยไม่รู้ตัว

เกือบครึ่งชั่วโมงคนที่หลับปุ๋ยมาตลอดก็ครางอือเบาๆ ในลำคอน้อย ขยับเปลือกตายุกยิก ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นดังนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เอ่ยถามเบาๆ

“ตื่นแล้วเหรอ”

เสียงที่ดังอยู่ใกล้ๆ ทำให้คิริมาตัวแข็งทื่อ ครั้นรับรู้ว่าเมื่อกี้ตัวเองหลับซบไหล่อีกฝ่ายก็หลับตากัดปากด้วยความกระดากอายสุดฤทธิ์ ก่อนจะรีบลนลานดันตัวขึ้นมานั่งตรงๆ แล้วขยับเว้นระยะห่างออกมา

“ถึงไหนแล้ว” เธออุบอิบถามด้วยความสะเทิ้นอาย ยกมือทั้งสองข้างลูบหน้า แล้วทอดสายตามองออกไปนอกรถ พอก้มลงมองนาฬิกาเรือนเล็กน่ารักที่คาดอยู่ตรงข้อมือตัวเองก็ต้องทำหน้าฉงน เพราะถ้าคำนวณจากเวลารถน่าจะวิ่งไปถึงหน้าคอนโดของเธอตั้งนานแล้ว แต่คิดดูอีกทีรถอาจจะติดก็ได้เพราะฝนตกการจราจรมักเป็นอัมพาต

“อีกหน่อยก็ถึงหน้าคอนโดเธอแล้ว” คนที่สั่งให้สารถีวนรถกลับไปกลับมาเพื่อยืดเวลาให้เธอได้นอนอีกหน่อยเอ่ยหน้าตาย เธอพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะส่งเสื้อคืนให้เขา

“ขอบใจนะ” คิริมาเอ่ยสั้นๆ พร้อมคลี่ยิ้มบางๆ และรอยยิ้มที่เพิ่งได้รับจากเธอเป็นครั้งแรกนั้นก็ทำให้คนฟอร์มจัดถึงกับไปไม่เป็น โหนกแก้มร้อนวาบจนต้องเมินหน้าไปทางอื่น

ไม่นานรถก็วิ่งมาจอดหน้าคอนโดของเธอ ร่างแน่งน้อยก้าวขาลงไปยืนกับพื้น ก่อนที่เขาจะยื่นกระเป๋าให้ เธอรับมันมาถือไว้ แล้วยกขึ้นสะพายหลัง จากนั้นก็ตั้งท่าจะหันหลังเดินจากไป ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายจับไหล่เอาไว้เสียก่อน แล้วเธอก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่ออยู่ๆ เขาก็ยัดหลอดยาใส่มือ

“เอาไป แล้วก็อย่าลืมทาด้วยล่ะ” หนุ่มฮอตสั่งเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่าการกระทำที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยทำให้เธอหัวใจเต้นรุนแรงจนแทบบ้า ก่อนจะรีบหันหลังให้เขาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นหน้าแดงๆ ชวนกระดากอาย จากนั้นก็ถือถุงยาก้าวไปข้างหน้าเหมือนคนละเมอ

“นี่…จะไม่ขอบใจกันสักคำเลยหรือไง”

พงษ์สวัสดิ์ทวงถามอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาอีกฝ่ายยืนนิ่งอ้าปากค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติเมื่อคนที่เดินตามมาหยุดลงตรงหน้าจงใจยื่นหน้าหล่อๆ เข้าใกล้

“เมื่อกี้ก็พูดไปแล้ว” เธออุบอิบหน้าแดง

“ก็อยากได้ยินอีกไง”

“เอ่อ…ขอบใจนายมากนะ” คิริมากล่าวมันออกมาจากความรู้สึกจริงๆ หากไม่ได้ขึ้นรถมากับเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีสภาพเช่นไร บางทีคงไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตกน้ำ

“แค่เนี่ย”

“อือ…ก็นายอยากให้ขอบใจฉันก็ขอบใจแล้วไง แล้วยังจะเอาอะไรอีก” คราวนี้คนที่มีความซาบซึ้งเพราะการช่วยเหลือของเขาถึงกับทำหน้าบึ้งในความช่างเรียกร้อง

“ยังไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้คิดออกแล้วจะบอก” หลังจากทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เอ่ยออกมา ท้ายประโยคบอกเป็นนัยว่าเธอจะต้องได้ชดใช้ให้เขาอย่างแน่นอน

“งั้นฉันไปนะ” คิริมาเอ่ยเบาๆ เป็นเชิงตัดบทสนทนา แล้วเดินจากไป ทว่ายังก้าวไม่ถึงไหนเสียด้วยซ้ำน้ำคำที่อีกฝ่ายตะโกนไล่หลังมาก็ทำให้ร่างบางหยุดชะงัก

“นี่อย่าลืมล่ะ! ว่าเธอติดหนี้บุญคุณฉันอยู่!”

วาจาลำเลิกบุญคุณทำให้แม่สาวจอมหยิ่งหันขวับไปหา ย่นจมูกใส่คนช่างเรียกร้อง แล้วสะบัดหน้าหมุนตัวก้าวฉับๆ จากไป ท่ามกลางการอมยิ้มของคนที่จงใจยั่วแหย่ให้เธอแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา อย่างน้อยคิริมาก็ไม่ปิดกั้นและทำร้ายตัวเองด้วยการจมปลักอยู่ในโลกส่วนตัว

ช่วงพักเที่ยงของวันถัดมาพงษ์สวัสดิ์ก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ เพราะวันนี้เขาไปทานข้าวที่โรงอาหาร แต่กินไปได้ไม่กี่คำก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เด็กนักเรียนหญิงหลายคนต่างเข้ามาคุยกับเขา เอาขนมมาให้ ในช่วงเวลาที่กำลังหิวจัด ทำให้เขารู้สึกหน้ามืดเกือบจะตวาดไป แต่ก็ทำเพียงวางช้อนส้อม แล้วรีบฝ่าวงล้อมขึ้นมายังดาดฟ้า สถานที่ต้องห้ามสำหรับนักเรียนทุกคน ใครหน้าไหนก็ล่วงล้ำเข้ามาไม่ได้ จะยกเว้นก็แต่ยัยแว่นขี้แยหัวดื้อที่ไม่สนคำห้ามปรามห่าเหวอะไรทั้งสิ้น แถมวันนี้ยังมานอนในที่ประจำของเขาเฉยเลย

“นี่ยัยแว่นแอบมาอยู่ในที่ของฉันอีกแล้วนะ” หลังจากเดินมาทรุดกายลงนั่งข้างคนที่กำลังนอนขดตัวหลับตานิ่งพงษ์สวัสดิ์ก็เอ่ยคล้ายหาเรื่อง คราบน้ำตาที่ติดอยู่ข้างแก้มทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

“อย่ามายุ่งกับฉัน!” น้ำคำที่เธอขยันสาดใส่หน้าในทุกคราที่เจอกันทำให้เขาออกอาการหงุดหงิดงุ่นง่าน ไม่ชอบใจนักที่เธอทำเหมือนรำคาญเขาเสียทุกครั้ง

“ตัวร้อนเป็นไฟยังจะปากดีอีก” หลังจากหมายจะจับไหล่คนที่นอนคู้กอดตัวเองให้หันมามองหน้า เขาก็ถึงกับชะงักกึกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาตึงขึ้น ก่อนจะบ่นอุบ

“ถ้าป่วยก็ไปห้องพยาบาลซะ” แทนที่จะปล่อยให้คนไม่สบายได้นอนดีๆ เขากลับขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วก้มลงกระซิบบอกจนเกือบจะชิดใบหูน้อย

“นี่เธอ! ฉันพูดไม่ได้ยินหรือไง!” ครั้นเห็นว่าเธอไม่ตอบโต้ ไม่ไล่ตะเพิดด้วยวาจาไม่น่าฟังเหมือนเช่นในคราแรกเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่เธอจะผลักเขาออกห่างด้วยสภาพอ่อนแรง แล้วพยุงกายร้อนผ่าวเพราะพิษไข้ลุกขึ้นด้วยท่าทางทุลักทุเล ท่ามกลางสายตาเย็นชาของคนที่แอบลุ้นว่าเธอจะลุกไหวไหม

เห็นเธอเดินออกมาจากดาดฟ้าแทนที่จะเขาจะพอใจกลับเดินตามไปห่างๆ พอเธอเดินเซซ้ายเซขวาก็คอยวิ่งไปกันทางนั้นทางนี้ให้อย่างเนียนๆ หากเธอเสียหลักอย่างน้อยก็มีร่างของเขารองรับ ทนไม่ไหวพงษ์สวัสดิ์ก็จัดการอุ้มร่างคนไร้สติไปห้องพยาบาลท่ามกลางเสียงฮือฮาของเด็กนักเรียนที่พบเห็น

หลังจากสอบถามอาการของอีกฝ่ายจากพยาบาล แล้วได้ความว่าเธอเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา อาจจะเป็นเพราะเดินตากฝนไปเมื่อค่ำวานนี้ เขาก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

“โดดเรียนมาเฝ้าสาวหรือไงเรา” อาจารย์ที่ประจำอยู่ห้องพยาบาลซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวของเขาเอ่ยแซวอย่างยิ้มๆ ขณะเอามืออังหน้าผากคนป่วย

“ไม่ได้อยากเฝ้าหรอกครับ แต่วันนี้ขี้เกียจเรียนคาบบ่าย” เขาไหวไหล่เบาๆ พร้อมทำหน้าตาย

“แบบนี้ก็ได้เหรอไอ้เด็กแสบ” หลังจากอ้าปากค้างและกะพริบตาปริบๆ กับเหตุผลแบบกำปั้นทุบดินของลูกศิษย์จอมซึน ครูสาวก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ สีหน้ายิ้มๆ

“ก็แบบนี้ล่ะครับ เดี๋ยวไปอ่านเองก็ได้”

“อาจะฟ้องแม่เรา ว่าเราแอบชอบสาวที่แก่กว่า”

“ผมเปล่าสักหน่อย ยัยนี่ขี้เหร่จะตายใครจะไปชอบลง” คนปากหนักปฏิเสธพัลวัน ทว่าโหนกแก้มกลับขึ้นสีระเรื่อชวนมอง จนอีกฝ่ายอดอมยิ้มไม่ได้

“เหรอ…” ครูสาวแสร้งลากเสียงยาวพร้อมทำหน้าเหมือนรู้ทัน แล้วทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะลงคอ พงษ์สวัสดิ์ทำเพียงยักไหล่น้อยๆ เพราะอีกฝ่ายก็คงแค่ขู่เล่นๆ ไปอย่างนั้น

คล้อยหลังอาจารย์เขาก็ตวัดขาขึ้นไขว่ห้าง ยกแขนขึ้นกอดอกไว้หลวมๆ จ้องใบหน้าซีดเซียวด้วยสายตาชนิดหนึ่ง แล้วนั่งหลับตานิ่งๆ อยู่ข้างเตียง

“แม่ขา…แม่อย่าทิ้งหนูไป…ได้โปรด”

นอนหลับไปได้สักพักคนป่วยก็ทำให้คนนั่งเฝ้าไข้ถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะตัวเกร็งหน้าแดงซ่านเมื่ออยู่ๆ เธอก็คว้าหมับเข้าที่มือของเขา แล้วดึงไปกอดแนบอก ไม่นานคนที่กำลังไม่ได้สติซึ่งฝันเห็นแม่ของตัวเองก็ทำท่าจะดึงเขาเข้าไปกอดทั้งตัว หากว่าพงษ์สวัสดิ์ไม่ขืนกายเอาไว้เสียก่อน

“เฮ้ย! ฉันไม่ใช่แม่เธอนะโว้ย!” เสียงห้าวกระด้างร้องโวย เจ้าของใบหน้าหล่อกระชากใจที่ตอนนี้โหนกแก้มแต่งแต้มไปด้วยริ้วแดงๆ พยายามดึงมือตัวเองออกจากมือของคนป่วย เสียงโวยวายบวกกับการขัดขืนทำให้คนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงความฝันสะดุด ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ตื่นสักทีนะ” คนที่ออกอาการโวยวายเมื่อครู่เอ่ยเสียงเรียบ พยายามกักเก็บอารมณ์ที่ถูกสาวเจ้าคว้ามือไปกอดแนบอก แล้วตีหน้าขรึม

“นาย!”

“ก็ฉันน่ะสิ ที่เธอร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดว่าเป็นแม่ตัวเองจนไม่ยอมให้ไปไหน…มือน่ะจับอยู่ได้” เขาเอ่ยหน้าตาย ท้ายประโยคก้มลงไปมองมือตัวเอง แล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบปล่อยมือเขา

“ไม่จริง” เจ้าของใบหน้าแดงซ่านอุบอิบค้าน ท่าทางก้มหน้างุดด้วยความเอียงอายของคนป่วยเรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากคนที่อุตส่าห์โดดเรียนมาเฝ้าไข้

“จริง เธอนอนละเมอกุมมือฉันซะแน่น ผู้หญิงอะไรอ่อยผู้ชายตั้งแต่นมยังไม่ขึ้น” เขาเอ่ยยืนยันเสียงแข็งๆ ท้ายประโยคคนปากดีขี้เก๊กยังไม่วายเอ่ยล้อเลียน

“ที่จะพูดมีเท่านี้ใช่ไหม ถ้าใช่ก็ไปเรียนซะ ฉันอยู่คนเดียวได้”

“นี่กล้าไล่ฉันเหรอยัยแว่นจอมขี้แย” คนไม่เคยถูกสาวไหนเมินเฉยมาก่อนถึงกับชะงักกึกไปชั่วขณะ ใบหน้าแต้มยิ้มบึ้งตึงขึ้นในทันตา แล้วเอ่ยตอบโต้เสียงแข็งๆ

“ฉันไม่ได้ขี้แย ฉันแค่คิดถึงแม่” คิริมาอุบอิบเถียง เวลาป่วยเธอมักจะอ่อนแอและอ้อนแม่เสมอ ทว่าพอในวันที่ไม่มีแม่ป่วยขึ้นมาก็นึกจะอยากร้องหาแต่แม่

“อาการซึมเศร้าแบบนี้ฉันว่าเธอควรไปหาหมอโรคจิตนะ” พงษ์สวัสดิ์จ้องใบหน้าอมทุกข์และแววตาเศร้าหมองด้วยนึกสงสาร ก่อนจะเอ่ยบอกเบาๆ

“ฉันไม่ไป ฉันไม่ได้เป็นโรคจิต” คราวนี้คนที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์เศร้า ทั้งคิดถึงแม่ทั้งหดหู่ ถึงกับหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ ของหนุ่มป็อป แล้วเค้นเสียงแข็งๆ

“ยัยบ๊อง!...ฉันหมายถึงจิตแพทย์ เธอควรจะไปพบจิตแพทย์ซะ” เขาเอ่ยคล้ายแนะนำ แล้วชวนคุยด้วยท่าทางกระตือรือร้น นัยน์ตาเย็นชาเป็นนิจเปล่งประกายเรืองรอง “นี่ฉันก็ว่าจะเรียนจิตแพทย์ด้วยแหละ ถ้าเธอยังไม่หายจากอาการบ้าๆ พวกนี้ ก็รอให้ฉันเรียนจบก่อนนะ แล้วฉันจะรักษาเธอเอง”

“นายน่ะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ชอบโรงพยาบาลด้วย” หลังจากรู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนไปวูบหนึ่งกับน้ำคำในท้ายประโยคที่หลุดออกมาจากปากหยัก เธอก็ขยับปากอุบอิบตอบโต้อย่างไม่เต็มเสียงมากนัก

“คนป่วยปากแข็ง กลัวหมอล่ะสิไม่ว่า จิตแพทย์เขาไม่จับเธอฉีดยาหรอกน่ายัยแว่นขี้ตื่น” ไม่พูดเปล่าแต่เขาจงใจลดใบหน้าหล่อใสออร่าลงมาหา ทำเอาเธอตัวเกร็งหน้าแดงซ่านหลับตาปี๋ ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนหน้าตายดีดหน้าผากมนเบาๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยท่าทางจริงจังเกินวัย

“ถ้าจะกลัวไปหมดทั้งหมอและโรงพยาบาลขนาดนั้น ฉันว่าเธอควรจะเรียนหมอซะให้มันรู้แล้วรู้รอดนะยัยแว่น จะได้แก้อาการขี้ตื่นจนน่ารำคาญลูกตา”

พงษ์สวัสดิ์แนะนำเสร็จสรรพ ก่อนจะทำให้คิริมาแทบทำตัวไม่ถูกด้วยการดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ จากนั้นก็ก้มลงมากระซิบบอกให้เธอหลับตาถึงเวลาเลิกเรียนเขาจะปลุกเอง

หลังจากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เริ่มเข้าหาคิริมามากขึ้น เขาและเพื่อนจะลงมานั่งทานข้าวกลางวันโต๊ะเดียวกันกับเธอเป็นประจำทุกวัน ไปๆ มาๆ คิริมาก็ยอมเปิดใจที่จะคุยกับสี่หนุ่ม นานวันเข้าเธอก็เริ่มที่จะสนิทสนมและเป็นกันเองกับพวกเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะถึงช่วงสอบปลายภาคทั้งสี่ก็พากันมารบเร้าให้เธอติวหนังสือให้ ครั้นปฏิเสธพงษ์สวัสดิ์ก็เอ่ยลำเลิกบุญคุณที่เขาเคยช่วยเธอไว้ ทำเอาคิริมาทำท่าฮึดฮัดทว่าที่สุดก็ต้องยอมตกปากรับคำอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นหลังเลิกเรียนพวกเขาก็จะพากันเฮโลไปที่ห้องของเธอ ฉะนั้นช่วงหัวค่ำของทุกวันห้องของเธอจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ มีเสียงถกเถียง เสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะหยอกล้อเป็นประจำ

ไม่นานสี่หนุ่มก็ทำให้สาวๆ ทั้งโรงเรียนต่างอิจฉาและหมั่นไส้คิริมาพอกัน เมื่อพวกเขาประกาศว่าถ้าใครแกล้งเธอจะต้องเจอดี ที่สำคัญคืออนุญาตให้คิริมาขึ้นไปบนดาดฟ้าได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ไปๆ มาๆ คิริมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองไปไหนมาไหนกับสี่หนุ่มตลอด อยู่โรงเรียนพวกเขาก็จะเดินเป็นเงาตามตัวเธอในช่วงที่ว่าง ช่วงพักเที่ยงก็จะมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อน ตอนกลับบ้านก็จะกลับพร้อมเธอ โดยให้เหตุผลว่าจะมาติวหนังสือที่ห้องของเธอ โดยไม่เคยถามความสมัครใจของเจ้าของห้องเลยสักคำ พอเธอทำหน้าบึ้งเข้าหน่อยก็พากันตะล่อมและอ้อนว่าพี่สาวอย่างนั้นพี่สาวอย่างนี้จนใจเธออดใจอ่อนไม่ได้ สามหนุ่มเรียกเธอว่าพี่สาว จะมีก็แต่พงษ์สวัสดิ์ที่ชอบปีนเกลียวเรียกชื่อเล่นของเธอ

นานวันเข้ามิตรภาพระหว่างกันก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ คิริมาไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนอย่างที่แล้วมา จนกระทั่งถึงฤดูกาลสอบปลายภาค ทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จพวกเขาก็พากันมายืนเก๊กหล่อให้สาวกรี๊ดอยู่หน้าห้องของเธอ พอเธอก้าวออกจากห้องสอบเท่านั้นแหละสี่หนุ่มก็พากันแย่งบอกเธอว่าพวกเขาทำข้อสอบได้เกือบทุกข้อ แล้วลากเธอไปฉลองสอบเสร็จที่ร้านชาบู ตบท้ายด้วยการรบเร้าให้เธอไปเที่ยวด้วยในช่วงปิดเทอม หลังจากหว่านล้อมสารพัดจนเธอยอมตอบตกลง แต่ขอผลัดไปเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ ซึ่งพวกเขาก็โอเค ก่อนจะพากันไปส่งเธอที่คอนโด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel